ตอนที่ 1
กริ๊ก...
เสียงไขกลอนประตูของห้องพักชั้นที่ 8 บนถนนสายเก่าดังเบาๆ ล่องลอยไปตามเวลาโผล่เพล้ของวันและอีกวัน ในทุกๆวันของ โจว จื่อวี กลับการตื่นแต่เช้ามืดและกลับห้องพักในช่วงดึกดื่นหลังจากไปเรียนและทำงานรับจ้างนอกเวลา ช่างเป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อหน่ายอยู่เต็มที
หากแต่นี้เป็นปีสุดท้ายในวิทยาลัย จำต้องกัดฝืนร่างกายให้ผ่านพ้นไปทุกวัน โจวจื่อวีอาศัยอยู่ห้องพักชั้นบนสุดชั้นที่ 8 ของอาคารกึ่งบ้านของคุณนายจิ่งเจี่ย กับพี่ชายสองคนมากว่า15ปีแล้ว หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อแม่จากเมืองจีน โชคดีอยู่บ้างที่พี่ชายโจว จื่ออู๋เรียนจบชั้นประถมศึกษาและพอมีการวางแผนแยกแยะเงินเก็บของที่บ้านได้ จนเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้นจึงได้ลาออกทำงานกับเถ้าแก่ชิง ส่งเสียเลี้ยงดูน้องสาวคนเดียวของเขาจนปีนี้กำลังจะจบวิทยาลัยไถหนาน
ห้องพักชั้น 8 ที่สองพี่น้องโจวอยู่นั้น เป็นห้องมุมสุดทางเดิน ด้วยความใจดีของคุณนายจิ่ง ถึงยกให้อยู่ชั้นบนสุดห้องเดียวที่ใหญ่ที่สุดในราคาถูกที่สุดของอาคารแห่งนี้ แถมด้วยชั้นที่8คุณนายจิ่งมักจะใช้เก็บของซะส่วนมาก จึงทำให้พี่น้องโจวอาศัยอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ด้วยความสงบของอาคารจื่ออู๋มักหยิบหนังสือมาอ่านพร้อมจื่อวีอยู่บ่อยครั้งในยามว่าง หลังการทำงานที่ท่าเรือ
วันนี้เป็นอีกวันที่จื่อวีกลับถึงบ้านในช่วง4ทุ่ม โดยงานรับจ้างเสริมหลังเรียนวิทยาลัย จื่อวีมักไปทำงานที่ร้านน้ำชาใกล้ๆท่าเรืออังผิง โดยทำหน้าที่อยู่หลังร้าน ทำงานนวดแป้งบ้าง หยิบฟืนบ้าง หรือแม้กระทั่งเป็นเด็กล้างจานของร้าน ด้วยเพราะเป็นร้านน้ำชาไม่ใหญ่มาก จึงทำให้พนักงานน้อยตามลงไปด้วย หน้าที่หลากหลายอย่างเถ้าแก่ของร้านมักยัดเยียดเกินพอดีอยู่บ่อยครั้ง และด้วยที่จื่ออู๋ย้ำอยู่ตลอดให้ทำงานหลังร้าน ห้ามไปแสดงตนหน้าร้านโดยเด็ดขาด ทำให้จื่อวีคลุกคลีกับพนักงานชายมานาน แม้กระทั้งที่วิทยาลัย แม้มีเพื่อนไม่มากแต่จื่อวีมักสบายใจมากกว่าในการพูดคุยสนทนาเพื่อนกลุ่มบุรุษของชั้นเรียน
“สวัสดีจื่อวี ทำไมวันนี้ถึงกลับช้านัก?”
“รถรางเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ไม่ได้วิ่งผ่านถนนสายล่าง ฉันเลยเดินกลับบ้านมา ถือว่าประหยัดเงินได้อีกอย่างน้อย 10 เฟิน อู๋เก่อวันนี้มื้อเย็นทำอะไรกินหรือ?”
จื่ออู๋ไม่ตอบเพียงแต่รีบลุกมาเปิดจานครอบออก เผยให้เห็นผักคะน้าผัดซอสสีสด แม้จะเริ่มเย็นแต่ยังคงส่งกลิ่นหอมน่าทานอยู่ไม่น้อย รีบจัดแจงโต๊ะอาหารที่มักใช้รวมกับโต๊ะอ่านหนังสือให้เป็นระเบียบก่อนแล้วลุกไปเปิดแก๊สต้มน้ำชาให้อุ่นพอดี
จื่อวีตักข้าวมาสองถ้วย ถ้วยของตนมีปริมาณน้อยเพียงครึ่งนึงของถ้วยพี่ชายตัวเองอยู่มากโข เธอมักให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นผู้หญิงทานไม่เยอะบ้าง ทานมาก่อนหน้าจากร้านน้ำบ้าง เธอรู้ดีว่าพี่ชายของเธอต้องอดทนมากแค่ไหน ดังนั้นแล้วการช่วยประหยัดแม้เพียงสิ่งเล็กๆเธอก็ยินดีจะทำ
“อีกสามเดือนก็จะจบวิทยาลัยแล้ว สาขาการเงินที่ฉันเรียนถึงแม้จะดูหางานได้ง่าย แต่จำนวนบัณฑิตปีนี้ก็มากพอจะที่แย่งงานดีๆไปหมด คะแนนศึกษาฉันก็ไม่ดีนัก”
“พี่จะแนะนำเถ้าแก่ แถวโรงเครื่องจักรตรงถนนฟูเซินดีไหม? พี่ว่าที่นั่นยังขาดเสมียน พี่…”
“อู๋เก่อ.. ฉันน่ะ.. เห้ออออ อืมมม ยังไงดีนะ”
“หื้ม?”
บทสนทานาที่ฉันตัดความรำคาญใส่พี่ชาย ทำบรรยากาศอาหารมื้อเย็นค่อนไปทางดึกเริ่มกร่อย ฉันได้โอกาสเรียนและนั่นทำให้ฉันจะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่ไกลกว่าที่เป็น ความคิดมันวนอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา คงต้องบอกพี่ชายออกไปจริงๆสักที
“อู๋เก่อ พี่สัญญากับฉันได้ไหม หากฉันบอกไป พี่จะไม่โกรธฉันน่ะ”
จื่ออู๋วางตะเกียบลง จากนั้นเดินไปหยิบชาที่ต้มไว้มาวาง จิบชาอย่างช้าๆเพื่อรอฟังสิ่งที่น้องสาวตัวเองจะบอก
“ฉันขอโทษนะ ที่ฉันทำตัวเป็นภาระของพี่มาตลอด ความเป็นผู้หญิงของฉันก็มีน้อยกว่าผู้อื่นมากนัก ฉันน่ะชอบความอิสระที่ตนเองได้คิดและลองทำ ถึงรู้ว่าฉันน่ะไม่เหมาะกับงานประจำตามที่นิยมในไถหนานหรอก
จะให้ไปทำนาทำสวนก็กะไรอยู่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้มีโอกาสแวะไปทีสโมสรพยากรณ์มา ฉันไม่ได้จะไปดูดวงหรอกนะ ฉันไปสมัครสมาชิกเข้าร่วมนักทำนายที่นั่นมาน่ะ”
“อะไรนะ!!”
“เฮ เฮๆ อู๋เก่อใจเย็นก่อน ฟังฉันให้จบก่อน ฉันพูดออกไปพี่คงไม่เชื่อฉันแน่ เอาเป็นว่าฉันรู้ตัวว่าตัวเองมีญาณบางอย่างเชื่อมกับบุษราคัมที่แม่เคยให้ฉันตอนเด็กได้ ฉันเคยลองมาหลายครั้งแล้ว เชื่อสิว่ามันน่าทึ่งมาก”
“จื่อวี พี่คงทำใจลำบากน่าดูหากน้องสาวพี่ จะไปทำงานเป็นพวกหมอดู นักต้มตุ๋นตามตลาดแถวท่าเรือแบบนั้น ช่วงวัยรุ่นช่างเป็นวัยคึกคะนองนัก ยิ่งไถหนานเริ่มพัฒนาเครื่องจักรแทนคน คงไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างไร หากเธอจะมีความคิดที่แปลกแยกออกไปแบบนั้น พี่จะยินดีมากหากเธอจะกลับไปคิดไต่ตรองอีกรอบเรื่องงานในอนาคต”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ อ่าาาา ไม่สิ ฉันไม่ได้อยากเป็นหมอดูสักหน่อย ฉันอยากเป็นนักทำนายต่างหาก!”
“แล้วมันต่างกันหรือหมอดูกับนักทำนาย”
“แน่นอน!! มันต่างกันแน่นอน หมอดูที่อู๋เก่อเห็นตามตลาด ตามถนนท่าเรือน่ะ พวกนั้นมักคิดว่าตนได้รับพรจากเทพ คิดว่ามองเห็นอนาคตของคนๆอื่นได้ แต่ไม่เลย อนาคตของโชคชะตามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาต่างหาก ฉะนั้นการเป็นหนึ่งในผู้รับรู้ในคลื่นของโชคชะตาต่างหากที่ควรเรียกตัวเองว่านักทำนาย”
“อ่ะ เอ่อ ขออีกรอบที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆได้ไหม”
“เอาละ ฉันจะพูดช้าๆและอธิบายสั้นแล้วกัน หมอดูก็คือพวกนักต้นตุ๋นนั่นแหละ ส่วนนักทำนายคือบุคคลที่ทำนายดวงชะตาในตอนนั้นๆ ไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำการตัดสินใจของใคร ฉันอธิบายเข้าใจไหม? อู๋เก่อ”
“...”
“ฉันจะแสดงให้อู๋เก่อดูเองแล้วกัน ช่วงนี้พี่อยากพยากรณ์เรื่องไหน เชิญว่ามาได้เลย”
ฉันพูดจบก็นำถ้วยจานอาหารไปเก็บในส่วนซักล้าง ก่อนนำสมุดและปากกามาวางให้พร้อม ไม่ลืมจิบน้ำชาช้าๆ ดึงความมั่นใจและสมาธิกลับมาอีกครั้ง
“พี่ทำงานกับเถ้าแก่ชิงที่ท่าเรือมานานแล้ว”
จื่ออู๋เกริ่นเปิดเรื่อง แอบชำเลืองน้องสาวตนเองที่ดูตั้งใจกว่าปกติ แม้จะยังไม่พอใจอยู่บ้างกับการที่น้องสาวต้องการเป็นนักทำนาย แต่ก็รักเกินกว่าจะห้ามปรามความอิสระที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น
“ ช่วง6เดือนที่ผ่านมานี้ พี่รับรู้ถึงความผิดปกติของสินค้า เธอรู้ใช่ไหมกิจการของเถ้าแก่ชิงมักจะขนส่งจำพวกอาหารตากแห้ง วัตถุดิบเครื่องปรุง หรือแม้วัตถุดิบหายากจากเมืองจีนรวมถึงมุขมณฑล เผิงหู และ จินเหมิน”
“สินค้าที่ผิดปกติแรกเริ่มที่พี่จับสังเกตุได้นั่นคือพวกดินปืน รวมถึงก้อนแร่เหล็กปะปนมากับสาหร่ายแห้ง ตอนนั้นพี่ได้แจ้งเถ้าแก่ไป แต่เถ้าแก่กลับบอกให้เงียบไว้ รวมถึงได้แจ้งว่าจะมีสินค้า’พิเศษ’ส่งมาในทุกๆ1เดือน”
“ช่วงต้นมันก็หาได้เกิดปัญหาหรอก แต่หลังๆมักมีกลุ่มคนต่างถิ่นเข้าออกเรือนเถ้าแก่ชิงบ่อยครั้ง หลายคนในกลุ่มมักแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบพี่ ที่พี่มักนำความผิดปกติของสินค้ามาแจ้งแก่เถ้าแก่ชิง และปัจจุบันเถ้าแก่ชิงป่วยมานานกว่า1เดือนแล้ว พี่ได้เชิญหมอจากที่ต่างมาดูอาการ ต่างก็บอกไปในทางเดียวกันว่าเถ้าแก่เป็นโรคชรา”
“มันจะเป็นไปได้เชียวหรือ? ทั้งที่เถ้าแก่ยังแข็งแรง กลับล้มหมอนนอนเสื่อผ่านชั่ววัน และสินค้าที่พี่มีหน้าที่รับผิดชอบกลับเป็นสินค้าที่พี่ไม่รู้จักมาก่อน ทั้งเครื่องจักรรูปทรงแปลกๆ ส่วนพวกอาหารที่บางครั้งพี่พอหยิบจับกลับบ้านได้เล็กน้อย กลับน้อยลงจนน่าใจหาย”
“เอาล่ะ พี่ได้เกริ่นไปส่วนหนึ่ง และพี่ต้องการทราบว่า กิจการเถ้าแก่ชิงที่พี่ฝากตัวทำงานมานาน จะไล่พี่ออกหรือไม่? เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตลกแต่อย่างใดนะจื่อวี และนี้แหละคือความไม่สบายใจที่อยากได้คำพยากรณ์จากเธอ”
ฉันนั่งฟังเรื่องราวชีวิตในการทำงานของพี่ชายรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป และอู๋เก่อต้องการคำตอบเหนี่ยวนำจิตใจให้เขา ฉันหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้า ปรับสมองให้ปลอดโปร่งที่สุด ก่อนเริ่มเขียนข้อความลงสมุด
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
สิ่งนี้คือเทคนิคที่ฉันได้เรียนรู้ด้วยตนเองนั่นคือการเขียนสอบถามแต่ห้ามเป็นประโยคคำถาม หากลูกตุ้มบุษราคัมแกว่งในทิศทางตามเข็มนาฬิกานั่นคือคำตอบว่า ‘ใช่’ หากแกว่งในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาจะเป็นคำตอบว่า ‘ไม่’
ฉันได้ปลดสร้อยบุษราคัมที่สวม คล้องกับข้อมือก่อนปล่อยให้เส้นและลูกตุ้มห้อยลงมาเหลือความยาวเพียงฝ่ามือลงจุดบนข้อความในกระดาษ หลับตาและอ่านทวนข้อความประโยคที่ถาม 7 ครั้งในใจ
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
..
..
..
..
ลูกตุ้มจากนิ่งงันกลับเกิดการสั่นเล็กน้อยก่อนค่อยๆหมุนช้าๆในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา สร้างความประหลาดใจแก่จื่ออู๋อย่างมาก แม้ไม่เข้าใจในท่าทีของน้องสาว แต่ปฏิกิริยาจากลูกตุ้มอัญมณีก็มากพอทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง
“อะฮ่าๆ นั่นปะไร อู๋เก่อสบายใจได้ พี่ยังไม่โดนไล่ออกจากร้านเถ้าแก่ชิงแน่นอน”
…..
เช้าวันเสาร์….
วันหยุดประจำสัปดาห์แต่ฉันและพี่ชายต่างต้องออกไปทำงานอยู่ดี จื่ออู๋ออกจากบ้านแต่เช้าตามปกติ เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากพยากรณ์ทำนาย พี่ชายของตนไม่ได้พูดคำใด เพียงบอกสั้นๆว่าขอบคุณและไล่ตนไปนอน แต่ฉันมั่นใจว่าจื่ออู๋สบายใจลงไปหลายส่วน ส่วนเรื่องที่ตนจะเป็นนักทำนาย ในเมื่อพี่ชายไม่ได้ออกปากพูดกล่าวสิ่งใด ตนจะขออนุมานว่านั่นคือการอนุญาตก็แล้วกัน
จื่อวีตั้งใจจะเข้าสโมสรพยากรณ์และอยู่ยาวทั้งวัน ก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านนำชาช่วงเย็น
จื่อวีเลือกชุดเดรสสีกรมท่า ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกัน จากนั้นสวมสูทสีดำทับอีกชั้น นี่เป็นการแต่งกายที่จื่อวีถนัดที่สุด ชอบสวมชุดสูททักชิโด้ราคาถูกที่นิยมในหมู่บุรุษ จื่อวีมักบอกพี่ชายเสมอว่ามันทำให้ตนเองคล่องตัวและแตกต่างจากสตรีทั่วไป
ก่อนหน้านี้เธอเคยทำนายในสโมสรพยากรณ์และสร้างเงินมากกว่า5เจียวใน 1 วันมาแล้ว หรือเทียบเท่าเสมียนในโรงงานทำงานรวมกัน 3วัน หากจื่ออู๋รู้ คงยินยอมอย่างแน่นอน
ฉันลงรถรางลงบนถนนเชินหยิง ก่อนเดินลัดเข้าตรอกตลาดรูปปั้น และข้ามมาฝั่งถนนสายกลางก่อนถึงสโมสรพยากรณ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไถหนาน เหตุเพราะหากลงสถานีถนนเชินหยิงจะประหยัด มากกว่าสถานีถนนสายกลางมากถึง7เฟินโดยที่สามารถเดินทางได้โดยใช้เวลาเท่ากัน
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มาดามลี่”
ฉันทักทายมาดามลี่ทันทีที่เข้าสโมสรพยากรณ์ มาดามลี่เธอเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนกิจการสโมสรพยากรณ์ รวมถึงโรงพนันอีก 5 แห่งทั่วไถหนาน แต่เธอมักชอบทำงานต้อนรับในสโมสรพยากรณ์มากกว่า เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่หาก ใครที่ทำผลงานได้โดดเด่น มาดามลี่มักจะนำไปแนะนำแก่บรรดาผู้สนใจเสมอ
“ทิวาสวัสดิ์จื่อวี ดีใจจริงที่เธอเข้าสโมสรวันนี้ ลูกค้าช่วงวันหยุดมีมากกว่าวันปกติ หวังว่าวันนี้จะได้ลูกค้ากลับไปเยอะๆนะ”
มาดามลี่กึ่งพูด กึ่งตะโกน ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ฉันละความสนใจจากมาดาม ก่อนหันไปสั่งกาแฟดำนำเข้า รสชาติดีแก่เด็กรับใช้ ค่าสมัครเข้าสโมสรถือว่าแพงเอาการ โดยสมัครสมาชิกเข้าแรกเริ่มจะต้องจ่ายถึง 5เหมิน สำหรับ 1ปี หากผ่านพ้นไปจะเหลือเพียง 1เหมินต่อปีเท่านั้น
ระหว่างรอกาแฟ ฉันได้หยิบหนังสือพิมพ์ ไถหนานเดลี่มาอ่านฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มอ่านเป็นจริง เป็นจัง มาดามลี่ก็ตะโกนจากแผนกต้อนรับมาเสียแล้ว ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินตรงมาที่ฉัน โดยที่มาดามลี่ทำมือแล้วโบกไปมา โดยที่ฉันไม่เข้าใจสักนิด
“ทิวาสวัสดิ์ครับคุณโจว สัปดาห์ก่อนผมได้ยินชื่อคุณจากคนรู้จักเกี่ยวกับการทำนาย บอกตรงๆผมสนใจมากจนต้องมาสโมสรพยากรณ์ และช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคุณ หวังว่าจะได้คำทำนายที่ยอดเยี่ยมจากคุณนะครับ”
อยู่ๆก็ทักทายโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ฉันก็เพียงยืนและยิ้มมุมปากตอบกลับไปเท่านั้น ฉันพยายามรักษามาดนิ่งๆของฉันให้ได้มากที่สุด ยิ่งเป็นผู้ทำนาย ยิ่งต้องทำตัวให้น่าเคารพ
“ทิวาสวัสดิ์เช่นกันค่ะ ก่อนอื่นเชิญตามดิฉันเข้าไปคุยในห้องดีกว่า คุณสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ต้องการรับเป็นชาหรือกาแฟดำดีคะ”
“ขอเป็นชาสองที่ ขอบคุณครับ”
.
.
หลังจากเข้ามาในห้อง ฉันพยายามเก็บรายละเอียดท่าทางของบุคคลทั้งสอง ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดทักชิโด้ราคาแพงถึงไม่ได้ใส่หมวกตามนิยมแต่กลับถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ส่วนผู้หญิงใส่ชุดแปลกตาไปหน่อย ไม่ใช่ทั้งเดรส กี่เพ้า หรือกิโมโน ตามพวกญี่ปุ่นใส่กัน น่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็คนเผ่าอื่นจากจีน
“ไม่ทราบว่าวันนี้พวกท่านทั้งสองอยากพยากรณ์เรื่องใดหรือคะ?”
“อีก2สัปดาห์ข้างหน้า ผมจะเดินทางไปโชชอน แน่นอนว่าเส้นทางเดินเรือบอกไว้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยถึง 3สัปดาห์หรือมากกว่า ผมอยากทราบว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นหรือไม่?”
ฉันนั่งเคาะนิ้วลงโตะเบาๆ 2-3ครั้ง ก่อนเสนอวิธีพยากรณ์
“ดิฉันว่าควรทำนายดวงศาสตร์วันเกิด จริงอยู่ว่าการเดินทางมักมีผู้เดินทางร่วมหลายคน หากต้องการระบุว่าราบรื่นหรือไม่ควรชี้ชัดเป็นรายบุลคล และราคาสำหรับทำนายคือ 5เจียว”
“สุดแล้วแต่คุณโจวครับ”
ไม่เพียงไม่ต่อรองราคา แต่บุรุษท่านนี้กลับตอบด้วยท่าทีสบายๆราวกับไม่เดือดร้อนนิด
ครั้งก่อนฉันต้องหมดพลังชีวิตทำนาย โดยทั้งวันได้เงิน5เจียว แต่วันนี้ลูกค้าคนแรกฉันก็กำลังจะได้ 5เจียวแล้ว!!
สวรรค์ !!
“รบกวนเขียนชื่อ สกุล อายุ รวมถึงวันเกิดลงบนกระดาษนี้ด้วยค่ะ หากเขียนเสร็จแล้วเชิญรอด้านนอก ชาร้อนเตรียมพร้อมรอพวกท่านเรียบร้อย”
ชายหญิงเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้มีคำถามอะไรเพิ่ม
หยิบกระดาามาเปิดดู
ตง หมิงรุ่ย อายุ 25ปี
เกิด 31 ตุลาคม 1865
.
.
พัค จีฮโย อายุ 23ปี
เกิด 2 กุมภาพันธ์ 1867
...............................................................................................................................................
*บุคคลในเรื่องไม่มีอยู่จริง เกิดจากจินตการทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*** 10 เฟิน = 1 เจียว
10เจียว = 1 เหมิน
เหมิน(หยวน) ค่าเงินสูงสุด ธนบัตรสูงสุดคือ 100 เหมิน และต่ำสุดคือเหรียญ 1เฟิน
***********************************************************************
ตอนที่ 2 - https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d124336621cc200158811b9
ตอนที่ 3 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d1e019f96d13b0016dacd2c
ตอนที่ 4 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d24a520bf697c0016bb8a24
ตอนที่ 5 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d2f298a86b3430017fb68ae
ตอนที่ 6 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d3f0d3b7f63430016a8126a
โอ้ย! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ รอไคลแม็กซ์ค่ะ 🤔