ตอนที่ 1
กริ๊ก...
เสียงไขกลอนประตูของห้องพักชั้นที่ 8 บนถนนสายเก่าดังเบาๆ ล่องลอยไปตามเวลาโผล่เพล้ของวันและอีกวัน ในทุกๆวันของ โจว จื่อวี กลับการตื่นแต่เช้ามืดและกลับห้องพักในช่วงดึกดื่นหลังจากไปเรียนและทำงานรับจ้างนอกเวลา ช่างเป็นกิจวัตรที่น่าเบื่อหน่ายอยู่เต็มที
หากแต่นี้เป็นปีสุดท้ายในวิทยาลัย จำต้องกัดฝืนร่างกายให้ผ่านพ้นไปทุกวัน โจวจื่อวีอาศัยอยู่ห้องพักชั้นบนสุดชั้นที่ 8 ของอาคารกึ่งบ้านของคุณนายจิ่งเจี่ย กับพี่ชายสองคนมากว่า15ปีแล้ว หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อแม่จากเมืองจีน โชคดีอยู่บ้างที่พี่ชายโจว จื่ออู๋เรียนจบชั้นประถมศึกษาและพอมีการวางแผนแยกแยะเงินเก็บของที่บ้านได้ จนเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้นจึงได้ลาออกทำงานกับเถ้าแก่ชิง ส่งเสียเลี้ยงดูน้องสาวคนเดียวของเขาจนปีนี้กำลังจะจบวิทยาลัยไถหนาน
ห้องพักชั้น 8 ที่สองพี่น้องโจวอยู่นั้น เป็นห้องมุมสุดทางเดิน ด้วยความใจดีของคุณนายจิ่ง ถึงยกให้อยู่ชั้นบนสุดห้องเดียวที่ใหญ่ที่สุดในราคาถูกที่สุดของอาคารแห่งนี้ แถมด้วยชั้นที่8คุณนายจิ่งมักจะใช้เก็บของซะส่วนมาก จึงทำให้พี่น้องโจวอาศัยอยู่เพียงสองคนเท่านั้น ด้วยความสงบของอาคารจื่ออู๋มักหยิบหนังสือมาอ่านพร้อมจื่อวีอยู่บ่อยครั้งในยามว่าง หลังการทำงานที่ท่าเรือ
วันนี้เป็นอีกวันที่จื่อวีกลับถึงบ้านในช่วง4ทุ่ม โดยงานรับจ้างเสริมหลังเรียนวิทยาลัย จื่อวีมักไปทำงานที่ร้านน้ำชาใกล้ๆท่าเรืออังผิง โดยทำหน้าที่อยู่หลังร้าน ทำงานนวดแป้งบ้าง หยิบฟืนบ้าง หรือแม้กระทั่งเป็นเด็กล้างจานของร้าน ด้วยเพราะเป็นร้านน้ำชาไม่ใหญ่มาก จึงทำให้พนักงานน้อยตามลงไปด้วย หน้าที่หลากหลายอย่างเถ้าแก่ของร้านมักยัดเยียดเกินพอดีอยู่บ่อยครั้ง และด้วยที่จื่ออู๋ย้ำอยู่ตลอดให้ทำงานหลังร้าน ห้ามไปแสดงตนหน้าร้านโดยเด็ดขาด ทำให้จื่อวีคลุกคลีกับพนักงานชายมานาน แม้กระทั้งที่วิทยาลัย แม้มีเพื่อนไม่มากแต่จื่อวีมักสบายใจมากกว่าในการพูดคุยสนทนาเพื่อนกลุ่มบุรุษของชั้นเรียน
“สวัสดีจื่อวี ทำไมวันนี้ถึงกลับช้านัก?”
“รถรางเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ไม่ได้วิ่งผ่านถนนสายล่าง ฉันเลยเดินกลับบ้านมา ถือว่าประหยัดเงินได้อีกอย่างน้อย 10 เฟิน อู๋เก่อวันนี้มื้อเย็นทำอะไรกินหรือ?”
จื่ออู๋ไม่ตอบเพียงแต่รีบลุกมาเปิดจานครอบออก เผยให้เห็นผักคะน้าผัดซอสสีสด แม้จะเริ่มเย็นแต่ยังคงส่งกลิ่นหอมน่าทานอยู่ไม่น้อย รีบจัดแจงโต๊ะอาหารที่มักใช้รวมกับโต๊ะอ่านหนังสือให้เป็นระเบียบก่อนแล้วลุกไปเปิดแก๊สต้มน้ำชาให้อุ่นพอดี
จื่อวีตักข้าวมาสองถ้วย ถ้วยของตนมีปริมาณน้อยเพียงครึ่งนึงของถ้วยพี่ชายตัวเองอยู่มากโข เธอมักให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นผู้หญิงทานไม่เยอะบ้าง ทานมาก่อนหน้าจากร้านน้ำบ้าง เธอรู้ดีว่าพี่ชายของเธอต้องอดทนมากแค่ไหน ดังนั้นแล้วการช่วยประหยัดแม้เพียงสิ่งเล็กๆเธอก็ยินดีจะทำ
“อีกสามเดือนก็จะจบวิทยาลัยแล้ว สาขาการเงินที่ฉันเรียนถึงแม้จะดูหางานได้ง่าย แต่จำนวนบัณฑิตปีนี้ก็มากพอจะที่แย่งงานดีๆไปหมด คะแนนศึกษาฉันก็ไม่ดีนัก”
“พี่จะแนะนำเถ้าแก่ แถวโรงเครื่องจักรตรงถนนฟูเซินดีไหม? พี่ว่าที่นั่นยังขาดเสมียน พี่…”
“อู๋เก่อ.. ฉันน่ะ.. เห้ออออ อืมมม ยังไงดีนะ”
“หื้ม?”
บทสนทานาที่ฉันตัดความรำคาญใส่พี่ชาย ทำบรรยากาศอาหารมื้อเย็นค่อนไปทางดึกเริ่มกร่อย ฉันได้โอกาสเรียนและนั่นทำให้ฉันจะเรียนรู้สิ่งแวดล้อมที่ไกลกว่าที่เป็น ความคิดมันวนอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา คงต้องบอกพี่ชายออกไปจริงๆสักที
“อู๋เก่อ พี่สัญญากับฉันได้ไหม หากฉันบอกไป พี่จะไม่โกรธฉันน่ะ”
จื่ออู๋วางตะเกียบลง จากนั้นเดินไปหยิบชาที่ต้มไว้มาวาง จิบชาอย่างช้าๆเพื่อรอฟังสิ่งที่น้องสาวตัวเองจะบอก
“ฉันขอโทษนะ ที่ฉันทำตัวเป็นภาระของพี่มาตลอด ความเป็นผู้หญิงของฉันก็มีน้อยกว่าผู้อื่นมากนัก ฉันน่ะชอบความอิสระที่ตนเองได้คิดและลองทำ ถึงรู้ว่าฉันน่ะไม่เหมาะกับงานประจำตามที่นิยมในไถหนานหรอก
จะให้ไปทำนาทำสวนก็กะไรอยู่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้มีโอกาสแวะไปทีสโมสรพยากรณ์มา ฉันไม่ได้จะไปดูดวงหรอกนะ ฉันไปสมัครสมาชิกเข้าร่วมนักทำนายที่นั่นมาน่ะ”
“อะไรนะ!!”
“เฮ เฮๆ อู๋เก่อใจเย็นก่อน ฟังฉันให้จบก่อน ฉันพูดออกไปพี่คงไม่เชื่อฉันแน่ เอาเป็นว่าฉันรู้ตัวว่าตัวเองมีญาณบางอย่างเชื่อมกับบุษราคัมที่แม่เคยให้ฉันตอนเด็กได้ ฉันเคยลองมาหลายครั้งแล้ว เชื่อสิว่ามันน่าทึ่งมาก”
“จื่อวี พี่คงทำใจลำบากน่าดูหากน้องสาวพี่ จะไปทำงานเป็นพวกหมอดู นักต้มตุ๋นตามตลาดแถวท่าเรือแบบนั้น ช่วงวัยรุ่นช่างเป็นวัยคึกคะนองนัก ยิ่งไถหนานเริ่มพัฒนาเครื่องจักรแทนคน คงไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างไร หากเธอจะมีความคิดที่แปลกแยกออกไปแบบนั้น พี่จะยินดีมากหากเธอจะกลับไปคิดไต่ตรองอีกรอบเรื่องงานในอนาคต”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ อ่าาาา ไม่สิ ฉันไม่ได้อยากเป็นหมอดูสักหน่อย ฉันอยากเป็นนักทำนายต่างหาก!”
“แล้วมันต่างกันหรือหมอดูกับนักทำนาย”
“แน่นอน!! มันต่างกันแน่นอน หมอดูที่อู๋เก่อเห็นตามตลาด ตามถนนท่าเรือน่ะ พวกนั้นมักคิดว่าตนได้รับพรจากเทพ คิดว่ามองเห็นอนาคตของคนๆอื่นได้ แต่ไม่เลย อนาคตของโชคชะตามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาต่างหาก ฉะนั้นการเป็นหนึ่งในผู้รับรู้ในคลื่นของโชคชะตาต่างหากที่ควรเรียกตัวเองว่านักทำนาย”
“อ่ะ เอ่อ ขออีกรอบที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆได้ไหม”
“เอาละ ฉันจะพูดช้าๆและอธิบายสั้นแล้วกัน หมอดูก็คือพวกนักต้นตุ๋นนั่นแหละ ส่วนนักทำนายคือบุคคลที่ทำนายดวงชะตาในตอนนั้นๆ ไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำการตัดสินใจของใคร ฉันอธิบายเข้าใจไหม? อู๋เก่อ”
“...”
“ฉันจะแสดงให้อู๋เก่อดูเองแล้วกัน ช่วงนี้พี่อยากพยากรณ์เรื่องไหน เชิญว่ามาได้เลย”
ฉันพูดจบก็นำถ้วยจานอาหารไปเก็บในส่วนซักล้าง ก่อนนำสมุดและปากกามาวางให้พร้อม ไม่ลืมจิบน้ำชาช้าๆ ดึงความมั่นใจและสมาธิกลับมาอีกครั้ง
“พี่ทำงานกับเถ้าแก่ชิงที่ท่าเรือมานานแล้ว”
จื่ออู๋เกริ่นเปิดเรื่อง แอบชำเลืองน้องสาวตนเองที่ดูตั้งใจกว่าปกติ แม้จะยังไม่พอใจอยู่บ้างกับการที่น้องสาวต้องการเป็นนักทำนาย แต่ก็รักเกินกว่าจะห้ามปรามความอิสระที่แสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้น
“ ช่วง6เดือนที่ผ่านมานี้ พี่รับรู้ถึงความผิดปกติของสินค้า เธอรู้ใช่ไหมกิจการของเถ้าแก่ชิงมักจะขนส่งจำพวกอาหารตากแห้ง วัตถุดิบเครื่องปรุง หรือแม้วัตถุดิบหายากจากเมืองจีนรวมถึงมุขมณฑล เผิงหู และ จินเหมิน”
“สินค้าที่ผิดปกติแรกเริ่มที่พี่จับสังเกตุได้นั่นคือพวกดินปืน รวมถึงก้อนแร่เหล็กปะปนมากับสาหร่ายแห้ง ตอนนั้นพี่ได้แจ้งเถ้าแก่ไป แต่เถ้าแก่กลับบอกให้เงียบไว้ รวมถึงได้แจ้งว่าจะมีสินค้า’พิเศษ’ส่งมาในทุกๆ1เดือน”
“ช่วงต้นมันก็หาได้เกิดปัญหาหรอก แต่หลังๆมักมีกลุ่มคนต่างถิ่นเข้าออกเรือนเถ้าแก่ชิงบ่อยครั้ง หลายคนในกลุ่มมักแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบพี่ ที่พี่มักนำความผิดปกติของสินค้ามาแจ้งแก่เถ้าแก่ชิง และปัจจุบันเถ้าแก่ชิงป่วยมานานกว่า1เดือนแล้ว พี่ได้เชิญหมอจากที่ต่างมาดูอาการ ต่างก็บอกไปในทางเดียวกันว่าเถ้าแก่เป็นโรคชรา”
“มันจะเป็นไปได้เชียวหรือ? ทั้งที่เถ้าแก่ยังแข็งแรง กลับล้มหมอนนอนเสื่อผ่านชั่ววัน และสินค้าที่พี่มีหน้าที่รับผิดชอบกลับเป็นสินค้าที่พี่ไม่รู้จักมาก่อน ทั้งเครื่องจักรรูปทรงแปลกๆ ส่วนพวกอาหารที่บางครั้งพี่พอหยิบจับกลับบ้านได้เล็กน้อย กลับน้อยลงจนน่าใจหาย”
“เอาล่ะ พี่ได้เกริ่นไปส่วนหนึ่ง และพี่ต้องการทราบว่า กิจการเถ้าแก่ชิงที่พี่ฝากตัวทำงานมานาน จะไล่พี่ออกหรือไม่? เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตลกแต่อย่างใดนะจื่อวี และนี้แหละคือความไม่สบายใจที่อยากได้คำพยากรณ์จากเธอ”
ฉันนั่งฟังเรื่องราวชีวิตในการทำงานของพี่ชายรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป และอู๋เก่อต้องการคำตอบเหนี่ยวนำจิตใจให้เขา ฉันหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งก่อนค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้า ปรับสมองให้ปลอดโปร่งที่สุด ก่อนเริ่มเขียนข้อความลงสมุด
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
สิ่งนี้คือเทคนิคที่ฉันได้เรียนรู้ด้วยตนเองนั่นคือการเขียนสอบถามแต่ห้ามเป็นประโยคคำถาม หากลูกตุ้มบุษราคัมแกว่งในทิศทางตามเข็มนาฬิกานั่นคือคำตอบว่า ‘ใช่’ หากแกว่งในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาจะเป็นคำตอบว่า ‘ไม่’
ฉันได้ปลดสร้อยบุษราคัมที่สวม คล้องกับข้อมือก่อนปล่อยให้เส้นและลูกตุ้มห้อยลงมาเหลือความยาวเพียงฝ่ามือลงจุดบนข้อความในกระดาษ หลับตาและอ่านทวนข้อความประโยคที่ถาม 7 ครั้งในใจ
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
‘โจว จื่ออู๋จะโดนไล่ออกจากที่ทำงาน’
..
..
..
..
ลูกตุ้มจากนิ่งงันกลับเกิดการสั่นเล็กน้อยก่อนค่อยๆหมุนช้าๆในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา สร้างความประหลาดใจแก่จื่ออู๋อย่างมาก แม้ไม่เข้าใจในท่าทีของน้องสาว แต่ปฏิกิริยาจากลูกตุ้มอัญมณีก็มากพอทำให้ชายหนุ่มตกตะลึง
“อะฮ่าๆ นั่นปะไร อู๋เก่อสบายใจได้ พี่ยังไม่โดนไล่ออกจากร้านเถ้าแก่ชิงแน่นอน”
…..
เช้าวันเสาร์….
วันหยุดประจำสัปดาห์แต่ฉันและพี่ชายต่างต้องออกไปทำงานอยู่ดี จื่ออู๋ออกจากบ้านแต่เช้าตามปกติ เมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากพยากรณ์ทำนาย พี่ชายของตนไม่ได้พูดคำใด เพียงบอกสั้นๆว่าขอบคุณและไล่ตนไปนอน แต่ฉันมั่นใจว่าจื่ออู๋สบายใจลงไปหลายส่วน ส่วนเรื่องที่ตนจะเป็นนักทำนาย ในเมื่อพี่ชายไม่ได้ออกปากพูดกล่าวสิ่งใด ตนจะขออนุมานว่านั่นคือการอนุญาตก็แล้วกัน
จื่อวีตั้งใจจะเข้าสโมสรพยากรณ์และอยู่ยาวทั้งวัน ก่อนจะออกไปทำงานที่ร้านนำชาช่วงเย็น
จื่อวีเลือกชุดเดรสสีกรมท่า ทับด้วยเสื้อกั๊กสีเดียวกัน จากนั้นสวมสูทสีดำทับอีกชั้น นี่เป็นการแต่งกายที่จื่อวีถนัดที่สุด ชอบสวมชุดสูททักชิโด้ราคาถูกที่นิยมในหมู่บุรุษ จื่อวีมักบอกพี่ชายเสมอว่ามันทำให้ตนเองคล่องตัวและแตกต่างจากสตรีทั่วไป
ก่อนหน้านี้เธอเคยทำนายในสโมสรพยากรณ์และสร้างเงินมากกว่า5เจียวใน 1 วันมาแล้ว หรือเทียบเท่าเสมียนในโรงงานทำงานรวมกัน 3วัน หากจื่ออู๋รู้ คงยินยอมอย่างแน่นอน
ฉันลงรถรางลงบนถนนเชินหยิง ก่อนเดินลัดเข้าตรอกตลาดรูปปั้น และข้ามมาฝั่งถนนสายกลางก่อนถึงสโมสรพยากรณ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไถหนาน เหตุเพราะหากลงสถานีถนนเชินหยิงจะประหยัด มากกว่าสถานีถนนสายกลางมากถึง7เฟินโดยที่สามารถเดินทางได้โดยใช้เวลาเท่ากัน
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มาดามลี่”
ฉันทักทายมาดามลี่ทันทีที่เข้าสโมสรพยากรณ์ มาดามลี่เธอเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนกิจการสโมสรพยากรณ์ รวมถึงโรงพนันอีก 5 แห่งทั่วไถหนาน แต่เธอมักชอบทำงานต้อนรับในสโมสรพยากรณ์มากกว่า เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่หาก ใครที่ทำผลงานได้โดดเด่น มาดามลี่มักจะนำไปแนะนำแก่บรรดาผู้สนใจเสมอ
“ทิวาสวัสดิ์จื่อวี ดีใจจริงที่เธอเข้าสโมสรวันนี้ ลูกค้าช่วงวันหยุดมีมากกว่าวันปกติ หวังว่าวันนี้จะได้ลูกค้ากลับไปเยอะๆนะ”
มาดามลี่กึ่งพูด กึ่งตะโกน ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ฉันละความสนใจจากมาดาม ก่อนหันไปสั่งกาแฟดำนำเข้า รสชาติดีแก่เด็กรับใช้ ค่าสมัครเข้าสโมสรถือว่าแพงเอาการ โดยสมัครสมาชิกเข้าแรกเริ่มจะต้องจ่ายถึง 5เหมิน สำหรับ 1ปี หากผ่านพ้นไปจะเหลือเพียง 1เหมินต่อปีเท่านั้น
ระหว่างรอกาแฟ ฉันได้หยิบหนังสือพิมพ์ ไถหนานเดลี่มาอ่านฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มอ่านเป็นจริง เป็นจัง มาดามลี่ก็ตะโกนจากแผนกต้อนรับมาเสียแล้ว ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินตรงมาที่ฉัน โดยที่มาดามลี่ทำมือแล้วโบกไปมา โดยที่ฉันไม่เข้าใจสักนิด
“ทิวาสวัสดิ์ครับคุณโจว สัปดาห์ก่อนผมได้ยินชื่อคุณจากคนรู้จักเกี่ยวกับการทำนาย บอกตรงๆผมสนใจมากจนต้องมาสโมสรพยากรณ์ และช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคุณ หวังว่าจะได้คำทำนายที่ยอดเยี่ยมจากคุณนะครับ”
อยู่ๆก็ทักทายโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ฉันก็เพียงยืนและยิ้มมุมปากตอบกลับไปเท่านั้น ฉันพยายามรักษามาดนิ่งๆของฉันให้ได้มากที่สุด ยิ่งเป็นผู้ทำนาย ยิ่งต้องทำตัวให้น่าเคารพ
“ทิวาสวัสดิ์เช่นกันค่ะ ก่อนอื่นเชิญตามดิฉันเข้าไปคุยในห้องดีกว่า คุณสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ต้องการรับเป็นชาหรือกาแฟดำดีคะ”
“ขอเป็นชาสองที่ ขอบคุณครับ”
.
.
หลังจากเข้ามาในห้อง ฉันพยายามเก็บรายละเอียดท่าทางของบุคคลทั้งสอง ผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดทักชิโด้ราคาแพงถึงไม่ได้ใส่หมวกตามนิยมแต่กลับถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ส่วนผู้หญิงใส่ชุดแปลกตาไปหน่อย ไม่ใช่ทั้งเดรส กี่เพ้า หรือกิโมโน ตามพวกญี่ปุ่นใส่กัน น่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ก็คนเผ่าอื่นจากจีน
“ไม่ทราบว่าวันนี้พวกท่านทั้งสองอยากพยากรณ์เรื่องใดหรือคะ?”
“อีก2สัปดาห์ข้างหน้า ผมจะเดินทางไปโชชอน แน่นอนว่าเส้นทางเดินเรือบอกไว้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยถึง 3สัปดาห์หรือมากกว่า ผมอยากทราบว่าการเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นหรือไม่?”
ฉันนั่งเคาะนิ้วลงโตะเบาๆ 2-3ครั้ง ก่อนเสนอวิธีพยากรณ์
“ดิฉันว่าควรทำนายดวงศาสตร์วันเกิด จริงอยู่ว่าการเดินทางมักมีผู้เดินทางร่วมหลายคน หากต้องการระบุว่าราบรื่นหรือไม่ควรชี้ชัดเป็นรายบุลคล และราคาสำหรับทำนายคือ 5เจียว”
“สุดแล้วแต่คุณโจวครับ”
ไม่เพียงไม่ต่อรองราคา แต่บุรุษท่านนี้กลับตอบด้วยท่าทีสบายๆราวกับไม่เดือดร้อนนิด
ครั้งก่อนฉันต้องหมดพลังชีวิตทำนาย โดยทั้งวันได้เงิน5เจียว แต่วันนี้ลูกค้าคนแรกฉันก็กำลังจะได้ 5เจียวแล้ว!!
สวรรค์ !!
“รบกวนเขียนชื่อ สกุล อายุ รวมถึงวันเกิดลงบนกระดาษนี้ด้วยค่ะ หากเขียนเสร็จแล้วเชิญรอด้านนอก ชาร้อนเตรียมพร้อมรอพวกท่านเรียบร้อย”
ชายหญิงเดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้มีคำถามอะไรเพิ่ม
หยิบกระดาามาเปิดดู
ตง หมิงรุ่ย อายุ 25ปี
เกิด 31 ตุลาคม 1865
.
.
พัค จีฮโย อายุ 23ปี
เกิด 2 กุมภาพันธ์ 1867
...............................................................................................................................................
*บุคคลในเรื่องไม่มีอยู่จริง เกิดจากจินตการทั้งสิ้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*** 10 เฟิน = 1 เจียว
10เจียว = 1 เหมิน
เหมิน(หยวน) ค่าเงินสูงสุด ธนบัตรสูงสุดคือ 100 เหมิน และต่ำสุดคือเหรียญ 1เฟิน
***********************************************************************
ตอนที่ 2 - https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d124336621cc200158811b9
ตอนที่ 3 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d1e019f96d13b0016dacd2c
ตอนที่ 4 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d24a520bf697c0016bb8a24
ตอนที่ 5 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d2f298a86b3430017fb68ae
ตอนที่ 6 -
https://www.chanraktwice.com/forum/main/comment/5d3f0d3b7f63430016a8126a
โอ้ย! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่นะ รอไคลแม็กซ์ค่ะ 🤔
ตอนที่ 6
“ถะถ้า ถ้าอย่างนั้น แสดงว่า…”
“อืมมม ทางโชชอนต้องการเข้าร่วมกับจีนแผ่นดินใหญ่ การจะยึดครองโชชอนอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทางคณะประชุมขุนนางคาโซกุยืนยันเมื่อปีก่อนแล้วว่าแผ่นดินโชชอนไม่มีทรัพยากรที่คุ้มค่าต่อการทำสงครามยึดครอง ยิ่งได้พันธมิตจากจีน ยิ่งจะเป็นเรื่องยาก”
“อีกอย่างหากตระกูลตงได้หมั่นหมายองค์หญิงจริง นั่นจะเป็นข้ออ้างให้ทางการจีนรวมไต้หวัน ให้เป็นหนึ่งของแผ่นดินจีนเสียอีก”
“และอีกอย่าง….ตอนนี้องค์หญิงท่านนั้น หายตัวไป...”
“ห๊ะ หายตัวไปงั้นหรือท่านวาตานาเบะ!!”
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!!”
ซานะจังหลังจากแพ้หมากรุก เธอถึงกับเลิกเล่นไปโดยปริยายหมดสนุกทันที และหันไปสนุกกับการชงชาต่อ ฉันไม่ได้กล่าวชวนเธอมาเล่นต่อ ยังนั่งอยู่จุดเดิม นั่งลูบหมากควีนไปพร้อมๆกับการรับรู้ข่าวจากโถงประชุมหลัก
องค์หญิงจากโชชอนหายตัวไปในไต้หวันกว่า 3 วันแล้ว พร้อมกับจดหมายขอความช่วยเหลือจากเด็กหญิงคนนั้น ช่างบังเอิญเสียจริง
“ทางตระกูลตงตอนนี้ทำการค้นหาแทบจะทุกซอกทุกมุมของไถหนาน แต่ยังไร้วี่แวว”
“อีกไม่นาน ตระกูลหมิงและกลุ่มคนต้องการแยกเกาะจะทำสงครามกับตระกูลพ่อค้าที่จะเข้าร่วมจีน”
“ทันที่สงครามเริ่ม ข้าจะส่งข่าวให้คนญี่ปุ่นให้มารวมตัว และพักแถวเขายั่นชวูจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น”
“ข้าว่าควรคนเกณฑ์คนญี่ปุ่นให้รีบมาอยู่เลยดีกว่า”
“ไม่ได้สิ หากเรามีการเคลื่อนไหวโจ่งแจ้งไป จะเป็นที่สงสัยเอาได้”
“ทางตระกูลซูซุกิจะส่งมอบอาวุธและดินปืนให้ทางตระกูลหมิง จนกว่าสินค้าจะถึงมือผู้รับ พวกเราห้ามให้ใครรู้ว่าอยู่เบื้องหลังสงครามโดยเด็ดขาด!!”
“อะแฮ่ม!!”
“เอาล่ะ ทุกคนโปรดใจเย็นลงก่อน อย่าลืมใจความสำคัญการประชุมวันนี้”
..
“ข้าขอความร่วมมือให้ทุกท่านร่วมค้นหาองค์หญิงพัค จีซูจากโชชอน โดยห้ามให้ใครล่วงรู้โดยเด็ดขาด”
…………..………
1อาทิตย์ผ่านไป
หากไม่นับเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ได้พบเจอการฆาตกรรมกลางถนน ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ชวนผวา
จื่อวี่ใช้ชีวิตด้วยความปกติที่สุด แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีจุดตรวจค้นจากตระกูลตงทุกแยกบนถนน อาศัยความนิ่งเฉยบนใบหน้า ตอบคำถามด้วยความฉะฉาน ก็มักจะรอดพ้นผู้ต้อสงสัยได้ตลอด
อู๋เก่อได้เตือนจื่อวี่ให้หลีกเลี้ยงเส้นทางในเขตถนนสายตะวันตกให้มากที่สุด สายข่าวสืบรู้มาว่า ทางการจีนแผ่นดินใหญ่ได้ส่งทหารมาที่ไต้หวันกว่า10,000หมื่นคน โดยมีประกาศอย่างเป็นทางการ เพื่อรักษาความปลอดภัยจากสงครามฝั่งยุโรป โดย3 มณฑลหลักจะมีทหารควบคุมเข้มเป็นพิเศษ ได้แก่ ไถเป ไถจง และไถหนาน
ทางตระกูลหมิง ตระกูลใหญ่ดั้งเดิมแห่งไต้หวันก็หาได้นิ่งนอนใจไม่ เมื่อลูกชายคนกลางเป็นหนึ่งในคณะขุนนางแห่งเกาะไต้หวัน ก็ได้เตรียมไพร่พลตามจุดต่างๆทั่วเกาะ แม้หน้าฉากจะแสดงตอบรับถึงการร่วมมือ แต่ลับหลังเรียกได้ว่าต่างระแวงไม่แพ้กัน
อู่เก่อซื้ออาหารแห้งมาเก็บไว้ที่ห้องมากมาย สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดมาหลายวัน มักบ่นเปรยอยู่เสมอถึงเรื่องสงคราม หากเรือเดินสมุทรจากอังกฤษ และ สเปนตกลงยอมทำสัญญาค้าขายที่ครอบคุมถึงท่าเรือสำหรับจอดพัก และท่าเรือสำหรับการขนส่งในภูมิภาคตะวันออกไกล ภูมิภาคทะเลจีนใต้ จรดแหลมมลายูสำเร็จ ทางจีนคงไม่นิ่งเฉยแน่นอน ย่อมต้องบุกตีและครอบครองไต้หวันเป็นแน่แท้
ยังวิเคราะห์ต่ออีกว่า หากจีนยึดเกาะนี้ได้จริง นอกเหนือจากสงครามจีน ไต้หวันแล้ว ต่อไปก็จะมีสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลใหญ่ๆ ที่จ้องจะครอบครองสิทธิ์บนเกาะนี้ด้วยเช่นกัน
แค่คิดฉันก็ขนลุกไปทั่วแผ่นหลังแล้ว เกิดมาลำบากยากจนก็ทรมานอยู่แล้ว ยังต้องมาเผชิญในภาวะสงครามอีก
แถมยังต้องช่วยเหลือสุภาพสตรีหน้าสวยคนนี้ด้วย!!!
“คุณพัคคะ รับชาร้อนเพิ่มไหมคะ?”
ฉันถามออกไป ตามมารยาท ไม่รู้สิยิ่งอยู่ใกล้เขายิ่งรู้สึกตัวเองต่ำต้อยยังไงแปลกๆ แม้เธอจะทำตัวราวปุถุชนธรรมดาก็เถอะ
“ไม่ดีกว่าค่ะ วันนี้ฉันดื่มไป2กาแล้ว ชาเขียวจากไถเปรสชาตินุ่มดีเสียจริง เผลอดื่มมากไม่รู้ตัว”
เธอพูดของเธอไปเรื่อยๆ แถมยังหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ไม่รู้หัวเราะเพราะเรื่องดื่มชา หรือหัวเราะฉันที่ยังคงนั่งมึนงง นั่งนิ่งมองเธออย่างเกร็งๆอยู่กันแน่
“นี่ คุณพัค”
“ฉันมีคำถามจะถามน่ะ แต่หากคุณไม่สะดวกตอบ ก็ไม่เป็นไรนะคะ มันก็แค่ความสงสัยส่วนตัวของดิฉันเองน่ะ”
“หืมมม คุณโจวอยากทราบเรื่องอะไรหรือคะ? หากฉันสามารถตอบได้ก็จะยินดีตอบแน่นอนค่ะ”
“อีก 3 วัน คุณชายตงมีแผนการเดินเรือไปโชชอน ข้าเพียงอยากรู้น่ะหากท่านจะหลบหนีเพราะรอคุณชายตงออกจากไต้หวันก็พอเข้าใจได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้จะหลบหนีไปก็ยากอยู่ดี ไม่ต่างกันสักนิด ฉันเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วอาคารหลังนี้คงถูกตรวจค้นแน่ แล้วเหตุใดคุณพัคถึงยังใจเย็นอยู่คะ?”
คิกๆๆๆ
โอ้วววว พระเจ้า
นี่ฉันจริงจังนะ!! เธอยังหัวเราะใส่ฉันอีก คำถามยาวๆนั่น มันน่าหัวเราะตรงไหนฟระ!!
“อะฮึ่ม! คุณพัค ฉันจริงจังนะคะ”
“ขอโทษค่ะ ที่เสียมารยาท”
“ช่างเถอะค่ะ เห็นคุณใจเย็นอยู่แสดงว่าสถานการณ์สำหรับคุณคงยังไม่ร้ายแรง”
“หืมม คุณโจว…. น้อยใจหรอคะ?”
“น้อยใจอะไรคะ!!! ฉันแค่ถามดีๆ!!!”
“ใจเย็นๆค่ะ ขอโทษอีกครั้งที่ทำให้ขุ่นเคือง คิกๆ”
“หัวเราะอีกแล้ว!!! คุณนี่ช่างตลกง่ายจังนะ!!”
“เอาล่ะค่ะ สำหรับคำถาม ทำไมคุณโจวถึงคิดว่าอาคารหลังนี้จะถูกตรวจ อันนี้คุณโจวพยากรณ์มาหรือคะ?”
“เปล่าค่ะ แต่ตระกูลตงทำแน่”
…......
คราวนี้คุณพัคกลับเงียบและสีหน้านิ่งจนฉันเผลอกำชายกระโปรง ไม่คุ้นชินเลยกับท่าทีของคุณพัคที่แสดงออกมา
“ฉันเพียงต้องการแน่ใจว่า คุณชายตงไม่ได้อยู่บนเกาะแห่งนี้ ก่อนฉันจะออกจากทีนี่”
“ทำไมหรอคะ เอ่ออ ข้าขอถามเหตุผลได้ไหม”
“เพราะเขาคือคู่หมั้นของฉันค่ะ”
“หืมมม… แล้วมันยังไงละ”
หน้าของฉันคงแสดงท่าทางขมวดคิ้วตลกๆอีกแน่ๆ ทางคุณพัคเริ่มอมยิ้มกลั้นขำ ฉันจึงพยายามดึงหน้ากลับมานิ่งๆอีกครั้ง
“หรือเพราะสงครามที่’เหมือนกำลังจะเริ่ม’ เพราะเป็นคู่หมั้นคุณสินะคะ คุณจึงเป็นห่วงคุณชายตง”
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงเขาหรอกนะคะ”
“หืมม ? เอ่ออ..”
“เพราะทันทีที่เขาออกจากไต้หวัน…”
“ ชะตาของเขาต้องตายเท่านั้น… และนั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”
…….........
วูบ…
ฉันเหมือนจะวูบล้มลงให้ได้ ทันทีที่คุณพัคกล่าวจบ ฉันเผลอถอยหลังไม่รู้ตัว ความรู้สึกกลัวลึกๆกำลังก่อในห้วงความคิดของฉัน
คุณพัค หญิงสาวแสนเรียบร้อย หญิงสาวที่มอบรอยยิ้มให้ฉันเสมอในทุกๆวัน หญิงสาวที่ฉันอยากถนอมปกป้องเพียงแค่เธอเอ่ยความต้องการ กลับสามารถกล่าวถึงความตายแก่บุคคลอื่นโดยไม่กระพริบตา
“คุณกลัวฉันหรือคะ?”
“ปะ เปล่านี่คะ ฉันเพียงแค่แปลกใจนิดหน่อย”
“แต่ท่าทางคุณกำลังกลัวฉันอยู่”
กว่าจะรู้ตัวตอนนี้ฉันก็ยืนตรงประตูริมระเบียงเสียแล้ว
เอามือทุบต้นขาเบาๆก่อนจะสูดหายใจปรับสีหน้า แสร้งเดินไปเตาแก๊สทำทีรินชาใส่กา ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ฉะ ฉันแค่จะไปเติมชาน่ะค่ะ”
เธออมยิ้มอีกแล้ว!!
“เมื่อครั้งก่อนที่ฉันพยากรณ์ไป ในนิมิตรคุณชายตงเดินทางถึงโชชอนโดยยังมีชีวิตอยู่นะคะ”
“ต่อให้เขารอดตายจากกลุ่มโจรทะเล เขาก็ต้องตายบนแผ่นดินโชชอนอยู่ดีค่ะ”
“โอ๊ะ!!! คุณรู้เรื่องโจรสลัดด้วยหรือ!?!?”
เธอไม่ตอบ แต่กลับยกยิ้มมุมปากให้ฉัน ขนอ่อนหลังคอฉันลุกไม่รู้ตัว เผลอกำชายกระโปรงจนยับยู่ยี่ไม่เป็นทรง
น่ากลัว
เธอน่ากลัวเกินไป…
“อะแฮ่ม!”
ฉันเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมชาร้อนในมือ นั่งรินแล้ววางทิ้งไว้
เราสองคนต่างจมอยู่กันในความเงียบ ฉันคงเป็นคนที่เริ่มสติไม่ดีแล้วกะมังที่ความรู้สึกมันปะปนและเปลี่ยนไปมา คุณพัคที่นั่งอยู่ตรงหน้า ใช่เป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากยิ้ม อยากปกป้องหรือป่าวนะ หรือเป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกหวาดเกรงและหวาดกลัวอยู่เสมอเวลารู้ว่าเธอไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแออย่างที่ฉันคิด
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ได้อยู่กับคุณพัค โลกของฉันก็ไม่น่าเบื่อหน่ายอีกแล้ว ความรู้สึกที่อยากปกป้องมันทำให้ฉันมีเป้าหมายในทุกๆวัน แต่ก็เจ็บปวดในใจลึกๆทุกครั้งเมื่อรู้ว่าสักวันนึงเธอต้องจากไป แค่รู้ว่าจะไม่ได้เจอหน้าก็โหวงในใจ
อีก 3วันสินะ ที่คุณชายตงจะออกเดินทาง และคุณพัคคงไปเผชิญตามวิถีของเธอ
“คุณโจวคะ?”
“คะ?”
ในที่สุดคุณพัคก็เอ่ยถามทำลายความเงียบ เห็นหน้าคุณเค้าแล้วก็พร้อมจะทำตามที่สั่ง ลืมความกังวลคิดมากไปทันที
“3วันข้างหน้า เราสองคนต้องย้ายออกจากที่นี่แล้วค่ะคุณโจว”
“เรารึ?”
“ใช่ค่ะ เราสองคนไง คุณโจวรับปากฉันแล้วนี่คะ ว่าจะช่วยฉันจนกว่าจะหาทางกลับโชชอนได้”
“แล้วอีก 3 วันคุณพัคไม่ได้จะกลับโชชอนหรอกรึ?”
“เดิมทีคงจะเป็นอย่างนั้น แต่พอได้ลองฟังข่าวเหตุการณ์ที่คุณโจวเล่าในทุกๆวัน ฉันคิดว่าคงต้องเลื่อนออกไปอีกพักใหญ่เลยค่ะ”
“เช่นนั้นแล้ว คุณพัคจะย้ายออกจากที่นี่ทำไมละ”
“โธ่คุณโจวคะ คุณเป็นบอกเองนี่หน่าว่าอีกไม่นานอาคารหลังนี้ต้องถูกตรวจจากตระกูลตง”
“อะ เอ่ออ จริงสินะ”
“แล้วคุณพัครู้หรอว่าจะไปหลบพักที่ไหน”
“ค่ะคุณโจว คงต้องพึ่งแรงคุณโจวแล้ว เพราะฉันจำได้เพียงว่าเป็นหมู่บ้านชาวนาที่ชื่อหมู่บ้านมี่เสียแต่อยู่ที่ใด ฉันไม่รู้จริงๆ”
“แล้วคุณพัครู้จักใครที่นั่นหรือ เขาคนนั้นวางใจได้ใช่ไหมคะ”
“เธอชื่อซน แชยองค่ะ เป็นชาวโชชอนเหมือนฉัน เธอไว้ใจได้คุณโจววางใจได้เลย”
นั่งมึนงงจนต้องบุกมารับลมที่ระเบียง คงคิดมากไปจริงๆ ก่อนจะยิ่มมาออกมาเล็กๆ ตอนที่รู้ว่าอย่างน้อยยังคงไม่ได้แยกจากคุณพัคคนสวยไปอีกพักใหญ่ แต่ก็รีบหุบยิ้มลงเมื่อคิดได้ว่า อนาคตมันไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น ไหนจะต้องหลบหนี ไหนจะต้องหวาดระวังคนแปลกหน้าต่างถิ่นอีก
ฮึบ!! เอาละ!!
เหลือเวลาอีกเพียง3 วัน ในระหว่างนี้ฉันจะต้องเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด จับช่องสูทด้านซ้ายยังสัมผัสได้ถึงปืนลูกโม่ที่เพิ่งซื้อมา ค่อยสบายใจลงหลายส่วน
ฉันบอกกับคุณพัคว่าจะออกไปทำงาน สืบสาวที่อยู่แห่งนั้นและจะซื้อของจำเป็นกว่าจะกลับคงค่ำ ให้คุณพัคอุ่นอาหารทานเลยไม่ต้องรอ
ก่อนอื่นฉันต้องหารายได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย หมู่บ้านมี่เสีย ตั้งอยู่ที่ใดนะ แม้แต่ฉันก็ไม่คุ้นชื่อ คงเป็นการดีกว่าหากรู้เส้นทางก่อนหลบหนี แรกเริ่มตั้งใจจะจ้างรถเข็นเพื่อทุ่นแรงและเพิ่มความสะดวกแก่คุณพัค แต่คงไม่ดีแน่หาก มีคนพบเห็นคุณพัคมากเกินไป อีกอย่างรถเข็นคงสะดุดมากกว่าเดินทางด้วยตัวเองแน่ๆ
วันนี้ฉันเข้ามาที่สโมสรพยากรณ์ในช่วงบ่าย โดยก่อนหน้านี้ได้แวะไปซื้อแผนที่เมืองจากตลาดนัดนักเดินทางที่ถนนท่าเรือมา แม้แต่เจ้าของร้านยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด จนฉันต้องหาที่สงบใจก่อนไล่หาอย่างช้าๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ฉันก็ยังหาไม่พบ ตอนนี้ฉันอนุมานไปว่าคุณพัคน่าออกเสียงของหมู่บ้านเพี้ยนไป เลยเริ่มต้นจดชื่อหมู่บ้านที่ออกเสียงคล้ายมี่เสียออกมา จนได้มา 3 แห่ง
สวี่เฉีย
ยี่เตี๋ย
และ ยวี่เสียน
ฉันตัดหมู่บ้าน สวี่เฉีย ออกไป เพราะตั้งอยู่ในเขตถนนสายบน อันเป็นเขตอาศัยของพวกคนรวย ชนชั้นสูง รวมถึงพวกตระกูลใหญ่ๆอีกด้วย ความเป็นไปได้น้อยมากที่จะอาศัยในพื้นที่ปากทางเสือแบบนั้น
เหลือยี่เตี๋ย และยวี่เสียน 2แห่ง แต่ละที่เป็นหมู่บ้านที่อยู่สุดชายขอบมลฑณ มีแนวโน้มเป็นหมู่บ้านชาวนาสูงเลยทีเดียว ครั้นจะกลับไปถามคุณพัคคงไม่ได้อะไรเพิ่ม ยิ่งจะเสียเวลาไปใหญ่
ทันใดนั้นก็ฉุกคิดมาได้ ถามใครไม่ได้ ก็ถามพยากรณ์สิ!!
ฉันจึงรีบหากระดาษมาเขียนชื่อหมู่บ้านแรกก่อนจะถอดสร้อยบุษราคัมมาทำนาย
“ยี่เตี๋ยคือหมู่บ้านชาวนา”
…..
..
ผลการทำนายคือลูกตุ้มแกว่งไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา นั่นแสดงว่า ยี่เตี๋ยไม่ใช่หมู่บ้านชาวนา
คงเป็นที่ยวี่เสียนสินะ และเพื่อความไม่ประมาทฉันจึงทำนายอีกรอบ
ผลปรากฏว่าใช่!!!
มีพลังทำนายมันดีแบบนี้เอง!!!
………………………………………………………………….
ตั้งแต่ฉันรู้ว่าองค์หญิงพัคหายตัวไป ฉันก็อยู่ด้วยความหวาดระแวงทุกวัน ชาวโชชอนที่อาศัยบนเกาะถูกค้นที่อยู่จากตระกูลตง บางคนโดนทำร้าย บางคนก็หายสาปสูญ เรียกได้ว่าชาวโชชอนในตอนนี้กลายเป็นพลเมืองชั้นสองบนเกาะนี้อีกทีไปแล้ว
ฉันอาศัยบนเกาะนี้กว่า 2ปี เป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกที่ทางเกาะไต้หวันอนุญาติให้อาศัยตั้งถิ่นฐาน
กลุ่มโชชอนของฉันมาพร้อมๆกับคณะฑูตญี่ปุ่น แต่กลุ่มของฉันกลับได้รับการจัดสรรพื้นที่ ได้อยู่ในชนบทอันห่างไกลตัวเมือง อาชีพเดียวที่สามารถทำได้คงไม่พ้นเป็นกลุ่มชนชั้นแรงงานปลูกข้าวในพื้นที่แห่งนี้
ดีหน่อยที่ลุงของฉันเป็นอดีตนายทหารเกษียณรับใช้ในวัง ทำให้มีเงินทุนพอที่ไม่ต้องไปปลูกข้าวให้เหนื่อย ลุงของฉันเป็นนายหน้ารับซื้อเมล็ดข้าวดิบ ก่อนจะลากเกวียนไปขายต่อที่โรงสีในเมือง แม้รายได้ไม่ได้มากมายนัก แต่ก็เลี้ยงดูฉันได้อย่างไม่อดอยาก
เมื่อการขายเมล็ดข้าวดิบไม่ได้ขายได้ตลอดทั้งปี ลุงของฉันจำต้องรับจ้างลากเกวียนขนส่งสินค้าทุกชนิด ทำให้ต้องออกเดินทางแต่ละครั้งใช้เวลานาน บางครั้งก็หลายวัน บางครั้งก็หลายเดือน แต่ฉันโตพอที่จะดำรงชีวิตด้วยตัวเองแล้ว จึงอาศัยอยู่ในบ้านเล็กๆอันห่างไกลนี้ด้วยตัวคนเดียวเสียส่วนใหญ่
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนจากตระกูลตงเข้ามาสอบถามข่าวคราวหญิงสาวโชชอน เพียงได้แค่เห็นรูปที่วาดมา ฉันก็จำได้ทันทีนั่นคือ องค์หญิงพัค!!
องค์หญิงที่มีฉันเป็นพระสหายครั้งเมื่อยังเด็ก!
ฉันปฏิเสธไป เพราะไม่ทราบจริงๆ แต่กลับถูกกักตัวและถูกรื้นค้นภายในบ้าน จนคนจากตระกูลตงพบตราพระราชลัญจกรของกษัตริย์องค์ก่อนของโชชอน ทำให้ฉันถูกสงสัยเข้าไปอีก แม้จะอธิบายออกไปไม่รู้กี่ครั้ง กี่คราว แต่หนึ่งในหัวหน้าพวกนั้นไม่เชื่อแม้แต่น้อย
ฉันจึงอ้างชื่อของลุงออกไปว่าคืออดีตองครักษ์ และเป็นเพื่อนของคณะฑูตโชชอน
ทางตระกูลตงจึงยอมถอยและปล่อยฉันไป แต่จะเรียกว่าปล่อยคงไม่ถูกนัก เพราะหนึ่งในพวกมันคงเจ้าคิดเจ้าแค้นกับฉันมากทีเดียว ฉันโดนก่อกวนอยู่บ่อยครั้ง หนักสุดคงจะเป็นการลอบวางเพลิงหลังบ้าน ดีที่ฉันรู้สึกตัวและเรียกเพื่อนมาช่วยดับทันก่อนลุกลาม
อยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้ว่าคุณลุง ญาติคนเดียวของฉันจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่ มองไปทางไหนก็พึ่งพาใครไม่ได้เลย ฉันแอบร้องไห้คนเดียวหลายครั้ง จนฉันตัดสินใจเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือจากคณะฑูตโชชอน
แต่สุดท้ายฉันก็โดนต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยการไล่ฉันออกมาเหมือนสุนัขข้างถนนตัวหนึ่ง
ฉันอยากจะตะโกนด่าทุกคนบนถนน ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว คุณลุงก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ส่วนฉันจะโดนทำร้ายจนตายเมื่อไหร่ไม่รู้ ความรู้สึกตัวคนเดียวบนโลกมันน่ากลัวเหลือเกิน ทุกคนต่างมองมาที่ฉันเหมือนตัวประหลาดคนนึง
“กูไม่ใช่คนหรือยังไง!! ไอ้พวกสวะ!!!”
อดไม่ได้ที่จะตะโกนด่าระบายออกไป เดินไปทางไหนก็มีคนหลีกทางให้ เดินอย่างไร้จุดหมายไม่นานก็พบหญิงสาวคนหนึ่งมาขวางทางเอาไว้ ฉันเกือบจะด่าออกไปอีกครั้งแล้ว แต่โดนกึ่งลากกึ่งวิ่งมายังตรอกแคบๆ ก่อนเธอคนนั้นจะแนะนำให้ฉันเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังลูกสาวของหัวหน้าคณะฑูตแห่งญี่ปุ่น ไม่ทันได้ถามชื่อ หญิงสาวก็เดินหนีฉันไปเสียแล้ว
ด้วยความหมดหวังอาลัยก็แล้วแต่ ในท้ายที่สุดฉันก็เขียนจดหมายไปส่ง แต่นี่มันก็หลายวันมาแล้ว ยังไม่มีวี่แววได้รับการตอบกลับ
คงหวังมากไปสินะ ขนาดฑูตโชชอนยังไม่อยากจะยุ่งกับฉัน
ไม่น่าหวังเกินตัวเลย
คิดมากไปก็ปวดหัว ฉันเลิกหวังกับอะไรลมๆแล้งๆแบบนี้ก่อนจะลุกจัดแจงเก็บข้าวของในบ้าน ระหว่างที่ฉันจะปิดประตู จู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งดันประตูก่อนจะถือวิสาสะเข้ามาในบ้าน
“เห้ย!! คุณเป็นใคร!! ออกไปเลยนะ ไม่งั้นฉันฟาดไม่ยั้งแน่”
ไม่ว่าเปล่า ฉันรีบไปหยิบไม้กระบองที่เอาป้องกันตัวมาถือชี้หน้าหญิงสาวคนนั้น แม้จะกลัวแต่ฉันจะสู้ไม่ถอยแน่นอน
“ใจเย็นๆสิ ใจเย็นๆก่อน จำฉันไม่ได้หรือคะ?”
“คุณเป็นใคร? ฉันจำไม่ได้หรอก ออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันทุบแน่!!!”
“คุณได้เขียนจดหมายไปให้ลูกสาวหัวหน้าคณะฑูตญี่ปุ่นหรือยังละ?”
“เอ๊ะ!?!? อะ คุณคือพี่ผู้หญิงคนนั้นนี่! ….เอาละ ฉันจำได้แล้ว ขอโทษด้วยนะคะ”
“เขียนหรือยังคะ?”
“ขะเขียนไปแล้ว แต่ยังไม่มีการตอบรับอะไรกลับมา”
“เธอคือครอบครัวขององครักษ์จริงๆใช่ไหม?”
“ใช่สิ ทำไมฉันต้องโกหกด้วย!!”
“ให้ตายสิ หากเธอยังหาที่ซ่อนไม่ได้ องค์หญิงนั่นอันตรายแน่!”
“นี่!! คุณรู้ได้ยังไง แล้วทำไมถึงรู้รายละเอียดมากมายขนาดนี้…. คุณเป็นใครกันแน่!?”
“ชู่ววว เงียบก่อน กำแพงมีหู ประตูมีตานะ จะพูดอะไรก็เบาๆหน่อย คนจากตระกูลตงอาจจะมาแอบฟังสืบข่าวจากเธออยู่ก็ได้ ใครจะรู้”
“แล้วจะบอกได้หรือยัง คุณเป็นใคร”
“ฉันชื่อโมโมะ ฮิราอิ โมโมะ”
“เป็นหน่วยข่าวกรองของญี่ปุ่นน่ะ”
......................................................................................................................................................
คราวหน้า ควีนส์จะไม่แพ้นะ รอตอนต่อไปค่า
ตอนที่ 5
อืมมม อืม
ฉันนั่งลูบคางไปมา ก่อนจะส่งเสียงฮึ่มๆผ่านลำคอ
คุณพัคยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนที่เธอจะค่อยๆหมุนตัวอย่างช้าๆ ชุดเดรสผ่าหลังสีเบจแนวร่วมสมัยช่างดูเข้ากับเธอมากกว่าชุดกระโปรงโชชอน ที่คุณพัคบอกให้เรียกว่า “ชุดฮันบก” ที่เธอใส่ประจำเสียอีก
“ดูดีมากค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
กล่าวขอบคุณแล้วทำทีเป็นถอนสายบัว
“เดี๋ยวๆ มะ ไม่ต้องถึงกับย่อหรอกค่ะ มันแบบ มัน เอิ่ม มันดูไม่ดีเท่าไหร่”
“หืม? ทำไมละคะคุณโจว ตามปกติสุภาพสตรีสมัยใหม่ มักจะอิงธรรมเนียมตามชาวตะวันตก การกล่าวขอบคุณพร้อมแสดงท่าทีก็เหมาะสมนี่คะ”
“เฮ้อออ ช่างเถอะค่ะ”
ฉันเลิกสนใจคุณพัค ก่อนกลับมานั่งประจำโต๊ะทำงาน แสร้งทำทีเป็นยุ่งๆกับกองกระดาษตรงหน้า
ฉันพาคุณพัคมาพักกว่า 3 วันแล้ว ตอนที่อู๋เก่อรู้ว่าเราเป็นคู่รักกัน เขาตกใจจนพูดไม่ออกไปเกือบ10วินาที เสียงแรกที่เปล่งออกมาจากนั้น กลับเป็นเสียงหัวเราะลั่น นอกจากไม่แสดงท่าทีผิดหวัง หรือด่าทอฉันแล้ว อู๋เก่อยังดูชอบใจอะไรทำนองนั้น ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายให้แขกคนสวยสามารถพักผ่อนให้เต็มที่ จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้
ฉันกับคุณพัค ดูเหมือนเราสองคนจะเข้ากันดีนะ แต่มันก็แค่ดูเหมือนเท่านั้น….
เงิน 5 เหมินที่ฉันรับมาจากคุณพัค ฉันเจียดออกมาถึง 1 เหมิน เพื่อซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอในราคาไม่สูงนักราวๆ5 ชุด รองเท้าคัทชูหุ้มข้อส้นเตี้ย 1คู่ ให้กลมกลืนกับหญิงไต้หวัน เพราะการที่เธอต้องใส่ฮันบกไปไหนมาไหน อาจจะทำให้สะดุดตาเข้า
แต่ฉันยังคงไม่อนุญาติให้เธอออกไปข้างนอกในเร็วๆนี้แน่
ด้วยความที่ฉันและอู๋เก่อ อยู่ด้วยกันอย่างประหยัดอดออม บวกกับการตะหนี่ถี่เหนียวในบางครั้ง ทำให้อุปกรณ์เครื่อใช้ต่างๆไม่ได้มีความหรูหรามากนัก ยิ่งพวกเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็น อู๋เก่อจะไม่ยอมเสียเงินซื้อเด็ดขาด แต่เมื่อแขกคนสวยมาอยู่อาศัย ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะนานอีกแค่ไหน ถือเป็นกรณียกเว้นในการซื้อของเข้าบ้านแล้วกัน
ซื้อพรมปูพื้นใหม่ในราคาถูก ซื้อเครื่องกรองคัดน้ำดื่ม รวมถึงซื้ออุปกรณ์ซ่อมแซมพวกท่อน้ำ และติดหลอดไฟในส่วนของห้องนอนของฉันเพิ่มอีก1ดวง ที่ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนของคุณพัคไปเสียแล้ว
ทางคุณพัคเอง ไม่ได้ขออะไรเพิ่มนอกเหนือจากที่หลบซ่อน โดยในแต่ละวันคุณพัคมักจะหยิบหนังสือเรียนเล่มเก่าๆของฉันมานั่งอ่าน ช่วยดูแลต้นไม้บริเวณระเบียงบ้าง ช่วยเก็บกวาดจัดระเบียบในห้องบ้าง ซึ่งฉันก็ไม่คิดว่าภาพลักษณ์สตรีสูงศักดิ์ของคุณพัคจะสามารถทำงานบ้านแบบนี้ได้เหมือนกัน
เมื่ออะไรดูเข้าที่เข้าทาง ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจลงไปบ้าง ฉันสามารถทำตัวราวปกติ นั่นคือการแวะเข้าไปที่สโมสรพยากรณ์ ลดการพยากรณ์แก่ลูกค้าเหลือเพียง3-4ท่านต่อวันเท่านั้น จากนั้น ฉันก็เตร็ดเตร่ไปตามโรงพนันบ้าง ตลาดค้าส่งบ้าง นอกจากจะคอยสังเกตุการณ์แล้วฉันก็พยายามสืบหาข่าวที่สำคัญอยู่เนืองๆ
คุณพัคบอกแก่ฉันว่า เธอต้องซ่อนตัวอย่างน้อยจนกว่าคุณชายตงจะออกเดินทาง หรือจนกว่าเธอจะมั่นใจจากแหล่งข่าวของเธอว่า เธอจะปลอดภัย
ในช่วง2-3วันที่ผ่านมา เหมือนจะมีเหตุการณ์บางอย่างในไต้หวัน ฉันรับรู้การแปลกไปจากผู้คนแม้เพียงเล็กน้อยก็เถอะ ช่างประจวบเหมาะกับที่ฉันพาคุณพัคมาซ่อนเสียจริง
คนแปลกหน้ามากขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งมีให้เห็นบ่อยขึ้น ฉันรับรู้ถึงภัยคุกคามแปลกๆ ลูกค้าที่ขอให้ฉันทำนายก็มักจะเป็นแนวทิศทางเดียวกัน และผลลัพท์มักจะออกมาด้านลบในทิศทางเดียวกันเสมอ
แปลก
มีบางอย่างผิดแผกไปจริงๆ
รู้สึกไม่ดีเลย พยายามสลัดความคิดมากที่มีออกไป กะว่าจะไปซื้อบะหมี่ที่ถนนเซินหยิงก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ไม่ทันไร
ปัง!!!
ฉันถึงกับสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะรีบก้มหมอบกับพื้นตามสัญชาตญาณ ฉันได้ยินเสียงหวีดร้องรอบๆตัว ก่อนจะเหลือบไปเห็น กลุ่มชาย5คนยืนล้อมคนๆนึง และ...นั่น....
ปัง!!!
ชายคนดังกล่าวโดนยิงอีกนัด จากปืนที่จ่อตรงขมับ
ร่างของชายคนนั้นล้มลง
กลุ่มชาย 5 เดินจากไปแล้ว
และร่างไร้วิญญาณกำลังสบตากับฉัน
………..
รีบลุกขึ้นก่อนหันหลังวิ่งหนีทันที
ฉันสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว
วิ่งมาได้ไกลจนขาฉันเริ่มล้า เพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ฉันได้วิ่งมาถึงถนนท่าเรือ ฉันหอบหายใจออกมาหนักๆราว 3-4ครั้ง ก่อนจะสูดเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติ แต่สมองของฉันกำลังฉายภาพของชายคนนั้นซ้ำไปซ้ำมา กลายเป็นภาพติดตาที่ฉันไม่สามารถลืมได้เลยตลอดชีวิต
แววตาของชายคนนั้น…
อั่ก!!
ฉันกำมือแน่นก่อนจะทุบต้นขาเพื่อให้คลายตะคริว รวมถึงทุบเพื่อให้ได้สติเสียที
เอาล่ะ ตอนนี้หัวใจของฉันเริ่มเต้นช้าลง ค่อยๆได้สติกลับมาทีละนิด ฉันสังเกตุผู้คนรอบๆ แม้จะไม่ได้เป็นเป้าสายตาของใคร แต่ผู้คนที่ฉันเห็น กลับกลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก ไม่เคยพบเจอมากก่อนกว่าครึ่ง มีบางอย่างแปลกไปมากจริงๆ
สัญชาตญาณอันหวาดระแวง เรียกร้องให้ฉันตรงกลับบ้านเดี๋ยวนี้ทันที
แต่ก่อนจะหมุนตัวกลับไป มุมสายตาของฉันก็ไปเห็นร้านเฮียเย่ ตรงทางแยกเล็กๆ ขาของฉันก้าวออกไปแล้วเริ่มต้นวิ่งอีกครั้ง
“ทิวาสวัสดิ์ครับ คุณลูกค้า”
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ เฮียเย่”
“อาจื่อเองหรอกหรือ วันนี้ฉันไม่ได้สั่งเซาปิ่งนะ”
“เฮียเย่คะ!!”
“ว่าไง”
“ฉันต้องการปืนค่ะ!!!”
…………………….
อาวุธปืนเรียงรายต่อหน้าฉัน ด้ามปืนสีเงิน สีทองสะท้อนเงาวับ ไล่ตั้งแต่ขนาดเล็กราวๆฝ่ามือของฉัน จนไปถึงขนาดราวๆ1เมตร
ฉันตัดปืนยาวออกไป จนเหลือเพียงปืนขนาดที่ฉันสามารถพกติดตัวได้ ด้วยความรู้เรื่องปืนของฉันคือศูนย์ ในหัวเพียงคิดว่าต้องการอาวุธป้องกันเท่านั้น แต่เอาเข้าจริง ฉันยังไม่กล้าจะจับปืนที่อยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
ฉันลังเลไปมา จนตัดสินถามเฮียเย่ออกไป
“เฮียเย่คะ ช่วยฉันเลือกปืนทีได้ไหมคะ”
“ไม่มีปัญหาหรอก แต่ก่อนอื่น ฉันอยากรู้ว่าทำไมผู้หญิงอย่างเธอถึงต้องมีปืนติดตัว..”
“นอกจากฉันจะทำงานที่ร้านเสี่ยวฉาแล้ว ตอนกลางวันฉันเป็นนักทำนายที่สโมสรตรงถนนสายกลาง”
“โว้ โว้ จริงหรือ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงแบบนั้นของเธอมาก่อน”
“ชู่ววว เฮียเย่เบาหน่อย อย่าเพิ่งไปบอกใครนะ ฉันขอร้อง ฉันไม่ได้อยากเด่นดังอะไรหรอก ฉันทำเพราะฉันชอบ”
“ชอบถึงต้องมาซื้อปืนป้องกันเลยใช่ไหม”
“ใช่! เอ้ยย ไม่ใช่สิ โถ่เฮียเย่ อย่าหัวเราะแบบนั้นสิ ที่ฉันต้องการปืนเพราะอยากป้องกันตัวจริงๆ”
“สรุปเฮียจะขายให้ฉันไหม ฉันจ่ายสดนะบอกเลย”
“เอ้า ขายก็ขาย อ่ะ เดินมาใกล้ๆ กระบอกนี้เรียกลูกโม่ .38 สมิธแอนด์เวสสัน โมเดล3 ผลิตปี1869 กระบอกสีทองตัวนี้เป็นลูกโม่ .357 วิลสัน คอมแบ็ต รุ่นปี1872 ส่วนกระบอกสุดท้าย ลูกโม่0.38 กล็อก รุ่นปี1870”
“ราคาละเฮีย”
“5 เหมิน 4เหมือน7เจียว และ 4เหมิน”
“พะ แพงขนาดนี้เชียว!!”
“อาจื่อออ ฉันได้ยินว่าเธอจะจ่ายสด หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
“โธ่ เฮียเย่ ฉันไม่พูดเล่นหรอก ว่าแพงทำไมกระบอกแรกถึงแพงกว่ากระบอกอื่น ทั้งๆที่มันมีขนาดเล็กที่สุดละเฮีย”
“กระบอกนี้นะหรอ อืมมม ที่มันแพงน่ะ มันอยู่ตรงนี้”
ไม่ว่าเปล่า เฮียเย่ได้หยิบกระบอกปืนขนาดราวๆฝ่ามือฉัน จากนั้นโชว์ให้ดูด้วยการกดปุ่มเล็กๆตรงใกล้ๆรังเพลิง จากนั้นก็มีบางอย่างพุ่งออกมาแต่ไม่ได้พุ่งออก
เฮียเย่ยิ้มจนเห็นฟันเหลือง ก่อนพลิกปืนให้เห็นสิ่งที่พุ่งออกมา มันเป็นใบมีด!!
“เห็นใช่ไหม ช่องลับที่ซ่อนมีด”
ฉันพยักหน้ารัวๆ
“จำไว้นะ ว่ามีดเล่มนี้มีพิษเคลือบอยู่”
………………
ฉันเผลอถอยหลังโดยทันที จากที่ไม่กล้าจับปืน ตอนนี้ฉันไม่กล้าเข้าใกล้มันเสียแล้ว
ยืนหันหลังใส่เฮียเย่ ก่อนสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด เมื่อร่างกายมีสติคงที่ สมองก็เริ่มการวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ฉันพยายามเรียบเรียงความคิดว่าเหตุใดถึงต้องซื้อปืน ซื้อไปเพื่ออะไร เมื่อมีตรรกะเหตุผลที่มากพอ ตอนนี้ความกลัวของฉันก็ลดลง
ฉันเดินเข้าไปจับปืนที่เฮียเย่กำลังยื่นด้านปืนให้ฉันทดสอบ น้ำหนักเบากว่าที่คิด เปิดดูรังเพลิงไม่มีกระสุนใส่ไว้ ลำกล้องปืนมีขนาดไม่ยาวนัก เฮียเย่บอกว่าพิกัดการยิงไม่ควรเกิน 500เมตร สำหรับมือใหม่อย่างฉัน
ตัดสินใจได้แล้วจึงนำเงินจ่ายเฮียเย่ออกไปถึง 5เหมิน
5เหมิน เลยนะ!!!
“เดี๋ยวก่อนเฮีย!!”
“5เหมินสำหรับปืนนี้ ฉันขอของแถมเป็นกระสุน 1กล่อง….ได้ไหมคะ?”
……………………………………………………….
“สโมสรชาวญี่ปุ่น ณ เกาะไต้หวันยินดีต้อนรับครับ”
“คุณหนูมินะและคุณหนูซานะทางนี้เจ้าค่ะ”
ฉันกับซานะจังเดินเลี่ยงออกมาทันทีตามมารยาท วันนี้มีประชุมนัดหมายทั่วไปของคณะทูต แต่ฉันสังเกตุว่าบรรยากาศสีหน้าของแต่ละคนดูเคร่งขรึมผิดปกติ ผู้ติดตามก็มากกว่าปกติ หรือจะมีเรื่องแจ้งอะไรกันนะ!!
ฉันเผลอตื่นเต้นไม่รู้ตัว
เจ้าหน้าที่เดินนำฉันมาถึงห้องรับร้องด้านในสุด เป็นอันรู้ดีกันว่าสงวนสิทธิ์ได้เฉพาะฉันที่สามารถใช้บริการได้เท่านั้น จากนั้นจึงเดินไปหยิบกล่องหมากรุกฝรั่งออกมาจัดเรียงเบี้ย ส่วนซานะจังดูจะชื่นชอบการชงชาแบบจีนมาก จนไม่ได้สนใจใครอื่นในห้อง
“อะแฮ่ม! ขอโทษนะคะ วันนี้ฉันและซานะจังตั้งใจจะมาเล่นหมากรุกฝรั่ง อยากได้ความเป็นส่วนตัว รบกวนช่วยออกไปรอนอกห้องได้หรือไม่คะ”
“ใช่เลย!! หมากรุกนี้ต้องใช้สมาธิอย่างมากจริงด้วย หากพวกเราต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะเดินออกไปแจ้งแล้วกันค่ะ” ซานะกล่าวเสริม
“เจ้าค่ะ เชิญคุณหนูทั้งสองพักผ่อนตามสบาย”
ทันทีที่สาวใช้เดินออกไป ฉันรีบลุกไปเปิดบานพับตรงเพดานข้างห้อง จนพบประตูไม้กระดาษกั้นระหว่างห้องนี้และห้องโถงประชุมหลัก เลื่อนโต๊ะน้ำชามาวางไว้ใกล้ประตูกระดาษ จากนั้นค่อยยกหมากรุกมาวาง จัดท่านั่งให้สบายที่สุด ก่อนจะจิบน้ำชาสร้างสมาธิ
“พี่ซานะ พร้อมหรือยัง”
ฉันอธิบายวิธีการเดินของหมากและความสำคัญของเบี้ย พี่ซานะดูตั้งใจฟังอย่างมาก แม้จะยังสงสัยแต่ดูท่าทีพี่ซานะอยากจะลองเล่นมันจริงๆมากกว่าถามฉันกลับ
“สวัสดีครับสุภาพบุรุษทุกท่าน”
เสียงแว่วดังลอยมาจากข้างห้องที่เป็นห้องโถงประชุมหลัก ฉันขยับตัวให้ใกล้กับประตูกระดาษขึ้นอีกหน่อย
“ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ เรื่องที่จะแจ้งให้พวกท่านทราบ ผมขอให้ทุกท่านช่วยให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่นะครับ”
ฉันกลืนน้ำลายลงไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่ได้ยินปนไปด้วยความสั่นเครืออย่างชัดเจน พยายามไม่ส่งเสียงดังหรือตั้งข้อสงสัย มือก็แสร้งเดินหมากรุกที่เล่นกับซานะ หูก็พยายามฟังบทสนทนาที่ประชุมให้ได้มากที่สุด
“มินะจัง เมื่อเช้าน่ะ เด็กโชชอนคนนั้นให้จดหมายมินะจังนี่ เขียนว่าอะไรหรอ?”
“ฮึ่ม! ไม่นี่”
“อย่าโกหกกันสิคะ”
“อ่อ ก็ไม่มีอะไรมาก จดหมายมาขอความช่วยเหลือน่ะ
“ความช่วยเหลือ?”
“ใช่ ใช่แล้ว พี่ซานะก็รู้นี่ครอบครัวฉันมีทุนช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นนโยบายที่คุณพ่อทำมาโดยตลอด ในนามของสโมสรชาวญี่ปุ่น”
“แต่นั่นเราจะช่วยแค่คนญี่ปุ่นที่อาศัยที่ไต้หวันนี่?”
“ก็ใช่ แต่เด็กโชชอนคนนั้นน่าจะไม่รู้กฏละมั้ง”
“งั้นหรอคะ..”
ดูเหมือนพี่ซานะจะเลิกให้ความสนใจเรื่องเมื่อช่วงเช้า และกลับมาอยู่ในสมาธิการเล่นหมากรุกฝรั่งต่อ ตอนนี้เธอโดนฉันกินเบี้ยไป 3 ตัวแล้วล่ะ สีหน้าของพี่ซานะเคร่งเครียดกว่าเดิม แม้จะดูสับสนและกล้าๆกลัวจะเดินหมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ตอนนี้เธอจึงเปลี่ยนมาเดินหมากตามฉันเสียเลย
“ผมเพิ่งได้โทรเลขจากมลฑลไถเป มาเมื่อช่วงเช้า”
“โอ๊ะ!! แย่จัง ทำไมหมากคิงส์ถึงเดินได้ทีละช่องกันนะ ไม่เหมือนหมากควีนส์เลย เดินได้ตั้ง 8 ทิศทางกี่ช่องก็ได้”
“อืม คงเป็นเพราะผู้หญิงสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ดีกว่ากษัตริย์ผู้ชายกระมัง ไม่ต้องมีพิธีรีตองเยอะแยะ อีกอย่างกษัตริย์ควรขยับตัวให้น้อยสิ แค่ความสำคัญก็มากกว่าราชินีแล้ว ที่เหลือก็ใช้ทหารไปจัดการไงละ”
“ไม่สมเหตุสมผลเลย แล้วราชินีไม่สำคัญหรอไง มินะจัง!”
“ทางหน่วยข่าวกรองยืนยันแน่ชัดแล้วว่าทางตระกูลตง มีการหมั้นหมายกับทางตระกูลพัคจากโชชอนจริง”
“ราชินีหรอ สำคัญสิพี่ซานะ..”
“เพราะหมากควีนส์สามารถโค่นล้มหมากคิงส์ได้นะ รู้หรือเปล่า? แต่ก็ต้องใช้หมากเบี้ยช่วยอยู่ดีถ้าจะเดินไปโจมตีฝั่งตรงข้าม”
“ใช่แล้ว!! เพราะอย่างนั้นหมากเรือ หมากม้าหรือหมากบิชอปก็สำคัญไม่แพ้กันสินะ!!”
ตอนนี้สีหน้าของพี่ซานะเริ่มดีขึ้นเมื่อเข้าใจภาพรวมของการเล่นหมากรุก ตอนนี้เธอเริ่มกินหมากของฉันคืนได้แล้ว โดยการเดินหมากเรือในแนวนอนกินพวกหมากเบี้ย สลับกับเดินหมากม้าฝ่าจนถึงกระดานฝั่งของฉัน
“และผู้ที่ได้หมั้นหมายคือพัค จีซู ซึ่งเป็นธิดาของพระสนมฮวีบิน กษัตริย์ชอนแจ….กษัตริย์องค์ก่อน”
“เก่งมากพี่ซานะ เรียนรู้ได้รวดเร็วดีจริงๆ”
“เพิ่งจะเข้าใจการเล่นก็มินะจังอธิบายนี่แหละ สนุกจัง”
“แต่รู้ไหม ข้อสำคัญที่จะเอาชนะในหมากรุก ไม่ใช่ว่าเราจะตะบี้ตะบันกินหมากของฝ่ายตรงข้ามให้ครบ”
“เอ๋ พี่คิดว่าการกินหมาก ตัดกำลังทหารก่อนสิน่าจะเป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด”
“ผิดแล้วล่ะ ลืมไปแล้วหรือไง ว่าความสำคัญคือหมากตัวไหน?”
“หมากคิงส์ไง”
“ถูกต้อง… เพราะถ้าหากหมากคิงส์ถูกรุก หมากเกมส์นี้จะจบทันที หรือเข้าใจง่ายๆว่ากษัตริย์ถูกจัดการไปไงละ”
“ต่อให้เป็นเจ้าหญิงจากโชชอนจริง ก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้นิ ท่านวาตานาเบะ”
“ผิดแล้วท่านคาโต้ แม้จะเป็นองค์หญิงที่ตัวตนจืดจางในโชชอน แต่องค์หญิงท่านนี้เป็นพระขนิษฐาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน”
“หรือจะเรียกง่ายๆว่า นางคือน้องสาวของกษัตริย์..."
"ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่”
“รุกฆาต!!”
“พี่ซานะ...พี่แพ้แล้วล่ะ”
..........................................................................................................................................................................
โห คุณหนูมินะ ร้ายนะคะนั่น 😏
ตอนที่ 4
แค่กๆๆๆ แค่ก
ฉันถึงกับสำลักเกี๊ยวน้ำจนแทบพุ่งออกมา ใช้มือปิดปาก พยายามตั้งสติและรีบจัดการอาการสำลัก ก่อนจะกระแอมเบาๆเรียกความมั่นใจออกมาอีกครั้ง
คนตระกูลตงทั้ง 4 ตอนนี้ต่างจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตรบ้าง เวทนาบ้าง
“คะ ใครคือเจ้าหญิง หรอคะ? พี่ชาย”
ฉันพยายามแสร้งปั้นหน้านิ่งๆ เอียงคอเล็กน้อยให้สมแสร้งว่าใคร่รู้
หนึ่งในกลุ่มนั้นใช้หัวเข่าสะกิดเพื่อนๆที่เหลือ ส่งสัญญาณให้ลุกออกจากร้าน โดยไม่สนใจคำถามของฉันสักนิด ก่อนจะออกจากร้านพวกมันได้วางเงิน2เจียวบนโต๊ะ จากนั้นเดินออกร้านไป
ฉันรีบยกน้ำชาขึ้นดื่มก่อนจัดแจงร่างกาย จากนั้นวางเงิน 5เฟินบนโต๊ะ แล้วรีบออกจากร้านโดยมุ่งไปในทิศทางตรงข้ามของกลุ่มตระกูลตง
หากมาทางนี้จะอ้อมไปสักหน่อย ถ้าพวกมันไปถึงก่อนคงจะแย่
จื่อวีตัดสินใจกระโดดผ่านรั้วไม้ทางกั้นจากนั้นเดินขึ้นเนิน มุ่งไปยังโรงงานร้าง เส้นทางนี้จะลำบากสักนิดแต่จากการคำนวณ จะใช้เวลาเร็วกว่าพวกมันแน่นอน
เดินมาถึงโรงงานร้างโดยที่บริเวณโดยรอบมืดสนิท อาศัยแสงไฟเล็กน้อยตรงเสาหน้าทางเข้า พอให้เห็นทางอยู่บ้าง ฉันกวาดตามองไปรอบๆ ไม่พบร่องรอยการรื้นค้น คนจากตระกูลตงยังมาไม่ถึงสินะ ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปห้องเล็กๆ หลังบ่อน้ำ
ก๊อกๆๆๆ
“แซลลี่”
..
ฉันยืนรอให้คุณพัคเปิดประตู แต่สายตาก็มองตรงไปยังทางเข้าอยู่ตลอด และแล้วฉันก็ได้เห็นเงาตะคุ่มๆของกลุ่มคนกำลังเดินตรงมาทางนี้
กริ๊ก
“คุณโจว!!”
“ชู่ว!!”
ฉันรีบเอานิ้วชี้ ทาบปากตัวเอง เป็นสัญญาณให้คุณพัคลดเสียงลงให้เงียบที่สุด
จากนั้นฉันจึงถือโอกาสคว้าแขนของสุภาพสตรี นำทางไปยังป่าทืบหลังโรงงาน
ต้องรีบหนี...
ด้วยความที่มันมืดจนแทบจะมองไม่เห็นทาง อาศัยแสงจันทร์ที่สว่างเพียงน้อยนิด ทำให้คุณพัคเผลอบีบแขนฉันแน่นโดยไม่รู้ตัว
“กลัวหรือคะ?”
“คุณโจวคงถนัดเดินในป่าแบบนี้สินะคะ ถึงสามารถเดินได้คล่องแคล่วขนาดนี้”
เธอไม่ตอบ แต่กลับถามคำถามฉันกลับ
ฉลาดเลยทีเดียว
“แต่ก่อนฉันและพี่ชายมีเงินไม่มากนัก ฉันเลยเลือกที่จะประหยัดเงินโดยการเดิน แต่ถ้าเลือกเดินตามถนนมันก็ช้าและอ้อมเกินไป”
“เส้นทางลัดตามแนวป่าแบบนี้ นอกจากจะรวดเร็วแล้ว ยังสามารถหลบหนีคนในเมือง หาที่สงบทำสมาธิได้ดีเลยทีเดียว”
“แล้วคุณโจวไม่กลัวเลยหรอคะ ในป่าแบบนี้มันอันตรายมากนะคะ ทั้งพวกสัตว์หรือแม้กระทั้งพวกโจร”
“ฮ่าๆ นี่คุณพัค คุณคิดมากไปแล้ว ถึงจะเป็นป่าก็จริง แต่มันเป็นป่าในเมืองไถหนานเลยนะ ไม่มีอันตรายอะไรแบบนั้นหรอก”
ฉันตอบเธอไป แต่กลับว่าเธอบีบแขนฉันแน่นกว่าเดิม
ฉันรีบพาคุณพัคเดินเลาะแนวป่าจนมาถึงคลองลำธารเล็กๆ จากนั้นเดินตามแนวน้ำ โดยคลองเส้นนี้จะไหลผ่านถนนเชินหยิง เป็นอันรู้ดีว่าหลุดจากเขตท่าเรือ เข้าสู่ตัวเมืองแล้ว
เดินสุดโค้งของคลองน้ำ ฉันรอให้จังหวะผู้คนบนถนนให้น้อยที่สุด มองซ้าย มองขวาก่อนข้ามถนนเข้าตลาดรูปปั้น ฉันรีบพาคุณพัคเลี้ยวเข้าตลาดทันที จากนั้นเดินเลี้ยวไปมาหลายต่อหลายครั้งในตลาดจนเจอซอยแคบๆ
จนถึงตอนนี้สีหน้าคุณพัค เริ่มแสดงความเหนื่อยล้าออกมาแล้ว ใจหนึ่งฉันอยากให้เธอนั่งพักสักครู่ แต่อีกใจก็อยากให้ถึงที่พักโดยไว
อดสงสารไม่ไหว เลยพาคุณพัคมานั่งพักในซอยแคบก่อนหยิบขนมเซาปิ่งในกระเป๋ายื่นให้ เธอรีบรับและรีบกินโดยไม่ได้มองหน้าฉันด้วยซ้ำ
“ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวออกมาเบาๆ ก่อนลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะเดินทางต่อ
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคุณพัค เธอยิ้มให้ฉัน ให้ตายสิ!!! รอยยิ้มนั้นสดใสจนฉันหน้าร้อนไม่รู้ตัว!!
รีบปรับสีหน้าก่อนเดินนำเธอไป ซอยแคบแห่งนี้ถือเป็นเส้นทางลัดสู่ถนนสายล่าง เดินอีกพักใหญ่ เราทั้งสองจึงเห็นแสงไฟจากเสารายทาง ก่อนออกจากซอยแคบ ฉันได้บอกเธอให้เดินตามฉันโดยห้ามทิ้งช่วงเด็ดขาด
ถนนสายล่างเป็นถนนในเขตแออัดของเมืองไถหนาน ฉะนั้นแล้วผู้คนจึงเยอะกว่าเขตอาศัยของคนรวยมากนัก ตอนออกจากซอยแคบฉันรีบพาคุณพัคข้ามถนนแล้วรีบอ้อมไปเส้นทางหลังบ้านทันที ถนนหน้าบ้านคุณนายจิ่งเจีย มักเป็นสถานที่พบปะของผู้คนถนนสายล่าง เพราะอยู่ใกล้สถานีรถราง แถมบริเวณโดยรอบก็มีร้านอาการเล็กๆอยู่มากมาย
ฟู่ววววว
ฉันปล่อยลมออกจากปาวยาวๆ แสดงความโล่งออกมา เมื่อเราทั้งสองมาถึงประตูหลังบ้าน
ส่วนคุณสุภาพสตรีคนสวย เมื่อเห็นอาการของฉัน เธอก็ยิ้มออกมาอีกแล้ว และนั่นก็ทำให้ฉันเผลอยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะสะดุ้งเล็กๆแล้วรีบดึงหน้ากลับ จากนั้นพาเธอขึ้นไปบนห้อง
กริ๊ก…
“สวัสดีจื่อวี ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนัก?”
“ทานอะไรมาหรือยัง?”
“โอ้ๆ คุณผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันหรือ?”
ทันทีที่ฉันปิดประตูห้อง จื่ออู๋ก็ส่งคำถามใส่ฉันไม่หยุด
“สวัสดีอู๋เก่อ”
“อะ เอ่อ เธอคือ...”
สุดท้ายฉันก็จุกในลำคอ เพราะลืมคิดคำตอบให้พี่ชายตัวเองเสียนี่!!
แต่ไม่ทันได้ตอบอะไรพี่ชาย หญิงสาวข้างกาย กลับก้มโค้งลงไปข้างหน้าเล็กน้อย
“สวัสดีค่ะ ฉันพัค จีฮโย เป็นคนรักของคุณโจว…”
“.....!!!”
…………………………
เช้าแล้ว แต่คนบนเตียงยังหลับสนิทอยู่
ค่อยๆละตัวออกจากเตียงโดยให้เกิดการขยับน้อยที่สุด เกรงว่าจะทำให้คนหลับอยู่รู้ตัว ร่างเปลือยเปล่าถึงกลับเย็นสะท้านเมื่อปราศจากอาภรณ์คลุมเรือนร่าง ก้มลงหยิบยูคาตะมาสวมให้เรียบร้อยไปพลาง รวบผมให้เรียบร้อยไปพลาง
“ตื่นแล้วหรือคะ มินะจัง”
“โอ๊ะ พี่ซานะ อย่าค่ะ ฉันต้องรีบลงไปข้างหน้านะ”
พยายามแกะมือคนขี้อ้อนที่อยู่ๆก็โดนสวมกอดจากข้างหลัง หากขืนยินยอมมากไปกว่านี้ เธอคงไม่ได้ลงจากเตียงจนกว่าจะเที่ยงแน่นอน
“พี่ซานะ พอก่อนค่ะ วันนี้พี่บอกฉันว่าจะตามฉันกับพี่ไคไปสโมสรชาวญี่ปุ่น ใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ แต่นัดหมายมันเวลาบ่าย 2 ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องรีบด้วย อีกอย่างพี่สามารถอยู่กับมินะได้ทั้งวันทั้งคืนเลยนะ”
“พี่ควรกลับบ้านบ้าง”
“ทำไมละ ครอบครัวเราต่างสนิทกัน จนจะจับพี่แต่งดองกับบ้านเมียวอิแล้วนะ แม่พี่เสียดายมากเลยนะตอนที่รู้ว่าพี่ไคมีคนรักไปแล้วน่ะ”
“หื้มมม อยู่ๆก็เกิดเสียดายหรือไง?”
“เสียดายทำไมล่ะคะ ในเมื่อตอนนี้พี่ก็เป็นของเมียวอิไปแล้วเหมือนกันนี่”
“โอ้ยยพี่ซานะพี่เป็นผู้หญิงนะ เลิกพูดแบบนี้ได้แล้ว...อีกอย่างเรื่องนี้มันควรเป็นความลับแค่เราสองคน…..พี่ก็รู้ใช่ไหม”
“ก็ตอนนี้เราก็อยู่กันเพียงสองคนนี่หน่าา ฮิๆ”
ฉันเลิกเถียงกับสาวช่างพูดคนตรงหน้า ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมและรีบลงไปด้านล่าง
ปล่อยให้พี่ซานะแต่งตัวให้เรียบร้อย อีกประเดี๋ยวก็คงลงมา
ครอบครัวของฉันและพี่ซานะเป็นคณะฑูตจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้ได้สิทธิ์พื้นที่ตรงบริเวณตีนเขายั่นชวู ใกล้กับแม่น้ำยั่นชวี พื้นที่อภิสิทธิ์อันแสนสะดวกสบายทั้งการเดินทางไปทั่วในมณฑลไถหนานจรดมุขมณฑลเกาสุย
เป็นบุตรของคณะฑูตในต่างแดน หน้าที่เดียวที่ฉันปฏบัติอยู่เป็นประจำ นั่นคือใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดเสมอ ฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้องในครอบครัว จึงมีนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ เหมือนกับพี่ซานะที่เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวมินาโตซากิ
ชีวิตสตรีที่ปราศจากการบังคับจากครอบครัวและสังคม ทำให้การใช้ชีวิตของพวกเธอเป็นอิสระมาก และยิ่งอยู่ในเขตปกครองเกาะไต้หวัน ที่รู้กันดีว่าเป็นเกาะ ”พิเศษ” ยิ่งทำให้ทั้งสองชื่นชอบที่นี่เป็นพิเศษ ซานะถึงกับเคยหลุดปากออกมาว่าจะซื้อบ้านอยู่ที่นี่กับฉันไปจนตาย...ขนาดนั้นเลย
บ้านของฉันหลังนี้เป็นบ้าน 2ชั้น 3ห้องนอน คุณพ่ออากิระยกให้ฉันกับพี่ไคอยู่ด้วยกัน เพราะฉันไม่ชอบบ้านที่ทางไต้หวันสร้างให้คณะฑูต แม้จะหลังใหญ่แต่ต้องคอยต้อนรับแขกผู้คนบ่อยๆ มันทำให้ฉันอึดอัด คุณแม่ชอบบ่นอยู่เสมอ ท่านมักจะสอนให้ฉันอดทน เพราะอยากให้รู้จักผู้คนและเข้าสังคมบ้าง
แต่แล้วไงละ? ก็ฉันไม่ชอบนี่หน่า
บอกให้สาวใช้ช่วยต้มชาและช่วยเตรียมอาหารเช้าหลังฉันกับพี่ซานะดื่มชาตอนเช้าเสร็จ
หยิบหนังสือภาษาจีนกลางออกมาทบทวนระหว่างรอชา ตอนนี้ฉันสามารถพูดและอ่านภาษาจีนได้แล้ว ขาดเพียงการฝึกเขียนเท่านั้น คุณพ่อเคยจะจ้างครูสอนให้ แต่ฉันมองว่าฉันสามารถฝึกเขียนได้เองเพราะภาษาคันจิก็มีต้นกำเนิดจากจีนเช่นกัน
ฉันสามารถอ่านภาษาจีนได้ดีมากกว่าแต่ก่อน ฉะนั้นฉันถึงได้เริ่มอ่านประวัติศาสตร์ของไต้หวัน ทำให้รู้ว่าแต่เดิมเกาะแห่งนี้อยู่ในเขตมณฑลฝูเจี้ยน แต่ด้วยภูมิศาตร์ที่เป็นเกาะกลางทะเลจึงทำให้เกาะแห่งนี้นิยมเป็นท่าพักเรือเดินสมุทร มีผู้คนมากมายต่างถิ่นต่างเข้ามาที่เกาะแห่งนี้ บ้างเข้ามาแสวงโชค บ้างเข้ามาเพื่อหลบหนี เมื่อผู้คนจากหลากหลายที่มา ย่อมมักนำปัญหาเข้ามาด้วยเช่นกัน
กฏหมายบางบัญญัติจากจีนแผ่นดินใหญ่ไม่สามารถควบคุมที่นี่ได้ ทางการจีนจึง “จำยอม” ยกสถานะเกาะไต้หวันแห่งนี้ กลายเป็นเขตปกครองตนเอง แยกออกจากจีนไปโดยปริยาย
หากแต่จะพูดว่าแยกเกาะ คงไม่ถูกนัก เนื่องเพราะคณะปกครองจากจีนได้ทำการแต่งตั้งคณะปกครองไต้หวัน เพื่อเข้าควบคุมจัดการและร่างกฏหมายขึ้นเอง แต่คงดำรงกฏหมายหลักจากจีนให้เป็นส่วนมาก
หรือเข้าใจง่ายๆว่า ตั้งลูกน้องให้มาคุมเกาะอีกทีนั้นแหละ
ประวัติศาตร์หนังสือเขียนจบเพียงเท่านี้...
แต่ฉันอยู่ที่ไต้หวันมา 2ปี รับรู้มาตลอดว่า คณะปกครองไต้หวันบางคน “ต้องการ” แยกออกจากจีนชัดเจน ถึงขั้นวางแผนและขอความร่วมมือจากพ่อค้าตะวันตก ตั้งสิทธิ์งดซื้อขายสินค้าบางจำพวกให้จีน โดยมีข้อเสนอแสนล่อตาล่อใจโดยการละเว้นภาษีสินค้า รวมถึงพื้นที่อาศัยในไต้หวัน
แต่การเมืองมันไม่ง่ายอย่างนั้น
เมื่อญี่ปุ่นประเทศบ้านเกิดของฉันก็ “ต้องการ” เกาะแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
หากญี่ปุ่นได้สิทธิ์เด็ดขาดเกาะนี้ทั้งหมด คนญี่ปุ่นแบบฉันจะกลายเป็นพลเมืองพิเศษไปทันที ฉันสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างอิสระตามใจชอบจนตายจริงๆ อย่างที่ซานะต้องการ
องค์จักรพรรดิ์จะตอบแทนคณะฑูตที่ช่วยให้ญี่ปุ่นครอบครองไต้หวันอย่างงาม อย่างน้อยตระกูลของฉันจะถูกยกระดับเป็นคาโชกุทันที และไม่แน่ว่าท่านพ่อหรือพี่ไค อาจจะได้รับการแต่งตั้งเป็นโคชากุก็เป็นได้
มินะนั่งจิบชาขึ้นช้าๆ ยกยิ้มเล็กๆเมื่อนึกถึงกลยุทธ์วิธีของคณะฑูตบ้านเกิดตัวเอง และด้วยเป็นลูกสาวหัวหน้าคณะทูต มินะมักจะหาข้ออ้างเข้าร่วมประชุมหารือในสโมสรอยู่บ่อยครั้ง แม้จะไม่ได้นั่งประชุมในห้องโถงหลัก แต่เพียงฉากกั้นห้องเล็กๆ นั่นก็มากพอที่ทำให้เมียวอิ มินะ รับรู้ความเป็นไป รวมถึงข่าวสารทุกอย่างในไต้หวัน
ยกยิ้มขึ้นอีกนิด เมื่อตระหนักได้ว่า พี่ไคมักจะมาขอคำแนะนำอยู่บ่อยครั้ง และคำแนะนำของฉันก็มักถูกเห็นด้วยในคณะที่ประชุมด้วยสิ
หึๆ
ฉันนี่แหละ หนึ่งในมันสมองหลักขับเคลื่อนญี่ปุ่นในไต้หวัน ของจริง!!
“มีเรื่องอะไรดีๆหรอคะ มินะจังง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”
“อะแฮ่ม! ป่าวนี่คะ พี่ซานะตาฟาดแน่ๆ”
“เอ๋~~~ ไม่อยากรู้ก็ได้~~ พี่จะมาเตือนอีกครั้งนะ มินะจังสัญญาว่าวันนี้จะพาพี่ไปเรียนรู้วิธีเล่นหมากรุกฝรั่งที่สมาคม”
“ฉันไม่ลืมหรอกน่า”
“ขออภัยเจ้าค่ะ คุณหนู”
สาวใช้กึ่งวิ่งเข้ามาในโถงรับแขก
“คะ?”
“มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ขอพบ? ฉันนะหรือคะ?”
“ค่ะ เป็นหญิงสาวชาวโชชอนเจ้าค่ะ แจ้งว่าต้องการเข้าพบลูกสาวของท่านเมียวอิ”
“โอ้ๆ มินะจัง ใช่เธอแน่ๆ ไปรู้จักใครที่ไหน บอกพี่มานะ!”
“ฉันจะไปรู้จักใครที่ไหนเล่า! พี่ซานะอย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม”
“อะฮึ่ม!! นางเป็นใคร...”
“นางได้แจ้งชื่อมาว่า”
“ซน แชยองเจ้าค่ะ”
................................................................................................................................................
คุณพระ! เจ้าหญิง ดอกฟ้าแล้วจร้า
ตอนที่ 3
“โอ๊ะ อาจื่อ! มาพอดีเลย”
ลุงยี่ยิ้มออก เมื่อเห็นลูกมือคนเก่ง
“ค่ะ ลุงยี่ มีอะไรกันหรือคะ?”
“อ่าาา อาจื่อบอกคุณผู้หญิงท่านนี้หน่อยสิ วันนี้ร้านเราปิดแล้ว”
“หืม?”
“วันนี้เถ้าแก่จิงทั้ง 3คน มีธุระด่วนไปที่สำนักงานเขตและจะไปร้านเถ้าแก่ชูตรงท่าน้ำยั่นชวี คงกลับมาดึกเลยแหละอาจื่อ เถ้าแก่จึงตัดสินใจปิดร้าน ตอนที่ลุงกำลังเก็บโต๊ะ คุณผู้หญิงทั้งสองก็เข้ามา พวกเขาเป็นชาวโชชอนน่ะ ลุงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก อาจื่อช่วยรับหน้าที เดี๋ยวลุงไปจัดการหลังร้านเอง”
“ได้ค่ะลุงยี่ ฝากจัดการส่วนที่เหลือด้วยค่ะ”
ลุงยี่เดินไปหลังร้านแล้ว ทางคุณพัค จีฮโยหลังจากถอดหมวกออก ก็ได้ไล่สาวใช้ไปรอด้านหน้า
ฉันยืนนิ่งๆอย่างเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี แต่ทางคุณผู้หญิงได้ผายมือลงตรงเก้าอี้อีกฝั่ง เป็นอันเข้าใจดีว่าอนุญาติให้นั่งได้
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะคุณพัคจีฮโย”
“เช่นกันค่ะคุณโจว”
..
…
ต่างคนต่างเงียบ ฉันจึงถืออนุญาติ รินชาอู่หลงร้อนๆใส่แก้วเล็กๆสองใบ เลื่อนแก้วช้าๆไปทางฝั่งคุณพัค จีฮโย
“ฉันมาแถวท่าเรือ เดินดูร้านค้าต่างๆจนเพลิดเพลิน กว่าจะรู้ตัวก็เดินมาถึงร้านนี้แล้ว”
“บังเอิญจังนะคะ ที่ได้พบคุณโจวที่ร้านเล็กๆแห่งนี้..”
“เชิญว่าธุระของคุณมาได้เลย”
ฉันกล่าวตัดบททันที
“ท่าเรือแห่งนี้ ไม่ใช่ที่ๆจะเจอร้านชาได้ง่ายนัก อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุคคลที่คุ้นชินในละแวกนี้ หากคุณจะเข้าร้านชาจริงๆ ทางเจ้าหน้าที่ท่าเรือจะแนะนำคุณไปอีกทาง เว้นเสียแต่คุณตั้งใจมาร้านนี้และพอมีเส้นสายที่จะผ่านในตรอกอู่ต่อเรือเดินมาที่นี่ได้”
ฉันเว้นช่วงอีกเล็กน้อย
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ฉันพูดถูกไหมคะ?”
“ฉลาด สมกับบุคลิกของคุณโจว”
สตรีตรงหน้าใช้หลังมือปิดปากก่อนกลั้นหัวเราะเล็กๆออกมา
“อะแฮ่มๆ คุณพัค จีฮโย..”
“เรียกคุณพัค สั้นๆดีกว่าค่ะ ฉันอยากพูดคุยกับคุณโจวแบบสบายๆ”
“ค่ะคุณพัค ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือ?”
ฉันถามออกไป แต่ทางหญิงสาวกลับชะงักอยู่เล็กน้อย ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ
เหมือนพยายามจะพูดบางอย่างออกมา แต่กลับมีท่าทีลังเล สีหน้าของคุณพัค ดูเหมือนพร้อมจะพูดบ้าง กลับไปขมวดคิ้วบ้าง มีความลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“อีกไม่เกิน20นาที ลุงยี่จะออกมาปิดร้าน คุณพัคมีเรื่องอะไร รีบพูดเถิด หรือหากยังลังเล ไว้เราสองคนพบกันอีกครั้งที่สโมสรในวันพรุ้งนี้ได้”
“คุณเป็นคนไต้หวันคนเดียวที่รู้จักฉัน…”
“และคุณก็เป็นคนเดียวที่ฉันรู้จัก นอกเหนือจากตระกูลตง บนเกาะแห่งนี้”
เธอกล่าวออกมาเบาๆ สีหน้ายังแฝงด้วยความลังเลอย่างชัดเจน
ด้วยความสัตย์จริง ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างจะเกิดขึ้นกับฉันแน่นอน เผลอกำชายกระโปรงไม่รู้ตัว ความกลัวเล็กๆกำลังวิ่งเข้าร่างกาย
กลัว
กลัวสิ่งที่หญิงสาวกำลังจะกล่าวออกมา
“คำทำนายเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ฉันอยากจะถามคุณโจวอีกครั้ง”
“หากเป็นเรื่องคำทำนาย แน่นอนว่าฉันได้บอกทุกสิ่งออกไปหมดแล้ว”
ฉันกล่าวตอบออกไป มือที่กำชายกระโปรงเริ่มผ่อนออก หากเป็นเรื่องทำนายแบบนี้ คุณพัคคงกังวลเรื่องการเดินทางเลยมาถามย้ำอีกครั้งมากกว่าสินะ
โล่งอกไปที
“ในการเดินทาง นิมิตรของคุณโจวเห็นคุณชายตง แต่ไม่เห็นฉันใช่ไหมคะ?”
“เรียนตอบตามตรงว่าใช่ค่ะ แน่นอนว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ที่ฉันไม่เห็นคุณพัค สาเหตุเพราะคุณพัคอาจจะปฏิเสธการเดินทางหนนี้ หรือหากคุณพัคเดินทางจริง นิมิตรของฉันมองเรื่องราวในช่วงสั้นๆ ซึ่งที่แห่งนั้นไม่มีคุณพัคอยู่เป็นต้น”
ฉันอธิบายตอบออกไปอย่างไหลลื่น ลูกค้าหลายคนมักต้องการคำขยายความในสิ่งที่ฉันทำนาย จึงไม่แปลกใจนัก
“คุณโจวคะ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
“คุณพัคคะ หากต้องการคำทำนายที่มากกว่าคำปรึกษา เกรงว่าต้องเปลี่ยนสถานที่ไปยังสโมสรพยากรณ์ แม้ฉันจะสามารถทำนายนอกสถานทีได้ แต่ฉันยังเป็นสมาชิกสโมสรอยู่ ดังนั้นจึงต้องรักษากฏ โปรดเข้าใจด้วยค่ะ”
“คุณโจว!!!”
“!!!”
ไม่ทันได้ตั้งตัว คุณสุภาพสตรีตรงหน้าก็โน้มตัวลงมาเรียกชื่อของฉัน ใบหน้าของเราทั้งสองห่างกันเพียงไม่ถึงฝ่ามือ ยิ่งได้มองชัดๆ เพิ่งตระหนักได้ว่าหญิงสาวคนนี้งดงามเพียงใด ดวงตากลมโตระยิบระยับ ต่างจากผู้คนบนเกาะแห่งนี้ สายตาของเธอ ริมฝีปากของเธอ… มันทำเอาฉันเผลอกลืนก้อนน้ำลายลงคอไปไม่รู้ตัว
หลังจากเราทั้งสองตั้งสติได้ คุณพัคกลับไปนั่งตำแหน่งเดิม ด้วยท่าทีสง่าสมเป็นสตรีสูงศักดิ์
ส่วนฉันเพียงไอออกมาเบาๆ2-3ครั้ง ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับท่านั่งให้ปกติเช่นเดิม
“อย่างที่กล่าวออกไป ฉันมีเรื่องรบกวนคุณโจว”
ครานี้หญิงสาวพูดออกมาด้วยท่าทีไม่ลังเลอีกแล้ว
“ฉันอยากให้คุณโจวพาฉันซ่อนตัวจากตระกูลตง รวมถึงคนจากโชชอน จนกว่าฉันจะหาทางกลับโชชอนได้”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ฉันจะรับผิดชอบเองค่ะ”
หญิงสาวล้วงมือไปใต้ผ้าคาดเอวก่อนหยิบถุงเงินออกมา หยิบธนบัตรใบละ 1เหมิน จำนวน 5ใบ ลงบนโต๊ะ
ฉันถึงกับแสดงออกทางสีหน้าด้วยความตกใจ 5เหมิน ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลย หากเป็นแรงงานที่ท่าเรือ บางคนทั้งชีวิตก็ไม่สามารถเก็บเงินได้มากมายขนาดนี้แน่
“ฉะ ฉันยังไม่ได้รับปากเลยนะ จะให้ซ่อนคุณพัคจากตระกูลใหญ่บนเกาะแห่งนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ”
“ฉันไม่มีที่พึ่งอีกแล้วค่ะ คนจากโชชอนที่อยู่บนเกาะก็คงไม่ชำนาญเท่าคนพื้นที่ ได้โปรดเถอะคุณโจว ช่วยฉันเถิดค่ะ”
กล่าวจบหญิงสาวมีท่าทีจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“ขอถามได้หรือไม่ เหตุใดสุภาพสตรีอย่างท่านถึงต้องซ่อนตัว?”
ถามออกไป มือทั้งสองข้างกลับกำชายกระโปรงอีกแล้ว ความรู้สึกกลัวกลับมันกลับมาอีกแล้ว
“ฉันกำลังถูกตามล่าค่ะ….”
“...”
สูดหายใจลึกๆ ก่อนเก็บเงิน5เหมินเข้าช่องสูท ไม่รู้ทำไม พอได้ยินคำตอบ..
ร่างกายก็ตอบสนองทันที ความคิดแรกบอกว่าให้ปฏิเสธ แต่อีกความคิดบอกให้ช่วยเธอ เหลือบมองเห็นสีหน้าไร้ที่พึ่ง
จากที่ลังเล ฉันก็ตัดสินใจได้ จึงรีบบอกให้เธอสวมหมวกปกปิดใบหน้าอีกครั้ง
ฉันเดินกลับมาทางหลังร้านเห็นลุงยี่ทำความสะอาดจวนจะเสร็จ จึงรีบไปหยิบเศษกระดาษ ก่อนเขียนตำแหน่งๆไว้อย่างคร่าวๆส่งให้เธอ
“อีกไม่เกิน 15 นาทีฉันจะปิดร้านนี้ คุณพัคเดินออกจากร้านเลี้ยวซ้ายตรงจุดนี้ จากนั้นเดินตรงไปไม่ไกลนัก ให้ปีนข้ามกองฟางเล็กๆ จากนั้นจะเจอโรงงานร้างที่นั่น คุณพัคไปหลบตรงห้องเล็กๆหลังบ่อน้ำจนกว่าฉันจะไปถึง ห้ามเปิดประตูให้ใครเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่คะ?”
“ฉันคงช่วยคุณพัคได้เพียงคนเดียว สาวใช้ที่ตามคุณมา คุณจัดการได้ใช่ไหม?”
หญิงสาวตรงหน้ารับกระดาษไปจากนั้นจึงทบทวนที่ฉันพูดอีกครั้งก่อนพนักหน้า แววตาของเธอตอนนี้มุ่งมั่นจนฉันอดหวั่นไหวไม่ได้ ฉันมักกลัวสิ่งที่นอกเหนือจากการคำนวณอยู่เสมอ ผิดกลับเธอ ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว
“อีกอย่างเราทั้งสองควรมีรหัสคำลับ ก่อนเปิดประตู… ฉันจะเคาะประตู 3ครั้งและพูดว่าแซลลี่”
“แซลลี่?”
“ใช่ค่ะ แซลลี่ ...ไม่มีเวลาแล้วคุณพัค เชิญออกจากร้านไปก่อน อย่าลืมปิดบังใบหน้า หลบเลี่ยงผู้คน แล้วไปเจอที่โรงงานร้าง ฉันจะช่วยคุณเอง”
….
สูดหายใจลึกๆ จนไม่รู้ว่าสูดเข้าไปกี่รอบ ฉันแอบมองตรงมุมประตูหน้าร้านเห็นคุณพัค บอกสาวใช้อะไรบางอย่าง จากนั้นสาวใช้เดินไปอีกทาง ก่อนที่เธอจะรีบเดินหลบตรงตรอกที่ฉันบอกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ฉันพยายามทำตัวให้ปกติ แสร้งเดินยกเก้าอี้ไว้บนโต๊ะ จับโต๊ะไม้เลี่อนไปมาให้ได้ตำแหน่ง
“โอ๊ะ! อาจื่อ คุณผู้หญิงกลับไปแล้วหรือ?”
“ใช่ค่ะลุงยี่ เธอกลับไปได้สักพักแล้วล่ะ เห็นว่าเดินหลงๆมาเจอร้าน ฉันได้บอกทางเธอกับสาวใช้ไปแล้วน่ะ ตอนนี้คงกลับไปที่ถนนท่าเรือแล้วกระมัง”
พูดคำโกหกออกไป โดยสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
จากนั้นตรวจเช็คความเรียบร้อยในร้านให้เรียบร้อยอีกครั้ง จึงช่วยปิดประตูร้านด้านหน้า ก่อนที่เราทั้งสองจะใช้ประตูหลังเดินทางกลับบ้าน โดยไม่ลืมขอขนมเซ่าปิ่ง ที่อบไว้ก่อนหน้า โดยวันนี้ฉันขอเกือบไปหมดทั้งถาด โชคดีวันนี้ปิดร้านไว ลุงยี่เลยอารมณ์ดียกให้ฉันหมด
บอกลาลุงยี่ที่ประตูหลังร้าน บอกเหตุผลลุงยี่ว่า ขอฉันนั่งรอเวลาให้ฟ้ามืดอีกหน่อย กลับเวลานี้รถรางผู้คนคงแน่นขนัด
ฟ้ามืดลงแล้ว เส้นทางประตูหลังร้านมืดจนแทบมองไม่เห็นทาง มองซ้ายมองขวา เมื่อปลอดผู้คนจึงเดินท่องไปในความมืด ด้วยความที่ถนัดเส้นทางจึงไม่เป็นอุปสรรคนัก ฉันเดินออกจากตรอกอู่ต่อเรือโดยใช้เวลาไม่ถึง 5นาทีด้วยซ้ำ
20เมตรข้างหน้าจะเจอทางแยก หากเลี้ยวซ้ายจะตรงไปสู่โรงงานร้าง หากเลี้ยวขวา จะออกไปเจอถนนท่าเรือ ฉันตัดสินใจจะเลี้ยวซ้ายเพื่อไปหาคุณพัค ให้เร็วที่สุด ก่อนที่เท้าจะก้าวออกไป ฉันกลับชะงักงัน เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจ แต่ยังลังเลนัก
หยิบเหรียญ 1 เฟินออกมากำไว้ มืออีกข้างทำจี้บุษราคัม ท่อนคำถามในใจครบ 7 ครั้ง ก่อนโยนเหรียญเสี่ยงทาย
“เลี้ยวซ้าย จะพบอันตราย”
...
..
.
ผลปรากฏเหรียญที่โยนออกหัว แน่นอนคำตอบคือใช่!! และนั่นคือมีอันตรายรออยู่!!
แน่สิ มืดป่านนี้ คนจากตระกูลตงคงเริ่มออกตามหา หากฉันไม่ระวังเข้า เกรงว่าจะเป็นที่สงสัยเอาได้
ฉันเดินเลี้ยวขวามาได้สักพัก ถนนท่าเรือมีไฟข้างทางติดยาวตลอดแนว พวกร้านบะหมี่เปิดบริการแก่แรงงานที่ท่าเรือจนแน่นร้าน ฉันตั้งใจจะเดินผ่านร้านแต่กลับเห็นกลุ่มคน 4คน ปักคำว่า “东 (ตง)”บนเสื้อกำลังเดินมาสอดส่อง จึงทำทีเดินเข้าร้านและสั่งเกี๊ยวน้ำ1จานเล็กมาทาน กะว่าจะรอให้คนจากตระกูลตงผ่านไปสักพัก จะได้เดินอ้อมออกไปโรงงานร้างต่อ แต่กลุ่มคนที่ฉันเห็นกลับเดินเลี้ยวเข้ามาในร้านเสี่ยนี่
และอย่างที่บอก ลูกค้าร้านนี้เยอะมากเป็นพิเศษ การนั่งทานร่วมโต๊ะถือเป็นปกติ ที่ผู้คนมักกระทำกัน
ไม่ทันจะได้คิดอะไรไหนต่อ คนจากตระกูลตง ทั้ง 4คน เข้ามานั่งล้อมฉันเสียแล้ว…
ฉันนั่งทานเกี๊ยวน้ำของฉันช้าๆ หากแต่พวกมันก็ทานบะหมี่ช้าเช่นกัน
ความเงียบ สร้างความอึดอัดกำลังทำให้ฉันเริ่มออกอาการประหม่า โชคดีที่ หนึ่งในพวกมันเริ่มบทสนทนา และนั้นทำให้ฉันสนใจ
“คุณหนูจากโชชอนหายไปแบบนี้ พวกเอ็งว่าท่านประมุขตง จะทำอย่างไรต่อ?”
“ข้าน่ะ เคยได้ยินมาว่าคุณหนูท่านนี้ถูกส่งมาไต้หวัน เพื่อเป็นหลักประกันของโชชอน”
“หลักประกันของโชชอน? เอ็งพูดอะไรวะ อย่ามาใช้คำแบบพวกขุนนางพูดได้ไหม”
“ข้าว่านางมาที่นี้เพื่อผูกสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ ตามประเพณีนั้นแหละ”
“แต่ข้าได้ยินมาจริงๆนะ”
“หื้ม?”
“นางน่ะ..”
“เป็นองค์หญิงจากโชชอน!!”
................................................................................................................................................
โอ้ย! ลุ้น จะได้มีโอกาสคุยกันแบบปกติบ้างมั้ยนะ นี่มันอะไรยังไงนะ
ตอนที่ 2
ก๊อกๆ
ยังไม่ทันจะเอ่ยอนุญาตออกไป สตรีเลอโฉมที่มาพร้อมบุรุษก่อนหน้าก็วิ่งเข้ามาในห้อง พร้อมหยิบกระดาษข้อความจากมือของฉันไปขีดๆ เขียนๆก่อนจะยื่นส่งคืน
“ขอโทษที่เสียมารยาท แต่ฉัน ฉัน เอ่อ .. คิดว่า ฉันเขียนตัวเลขวันเกิดผิดไป”
สำเนียงการพูดของเธอตะกุกตะกักแถมยังติดสำเนียงแปล่งๆ คงเป็นชาวต่างชาติจริงๆสินะ
“ไม่เป็นอะไรค่ะ ดีเสียอีกที่ได้ข้อมูลถูกต้อง ดิฉันหวังว่าคำทำนายของฉันจะแม่นยำมากขึ้นนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
กล่าวจบเธอก้มศรีษะลงเล็กน้อย ก่อนเดินออกจากห้องไป
พัค จีฮโย อายุ 23ปี
เกิด 1 กุมภาพันธ์ 1867
ฟู่วว เอาล่ะ ได้เวลาออกเรือสู่ทะเลแห่งโชคชะตากันแล้ว!!
จื่อวีแสดงอาการตื่นเต้น และมักจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้หลุดเข้าไปในช่วงเวลาของการพยากรณ์ทำนาย ลึกๆแล้วเธอก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย เธอมักจับสร้อยบุษราคัมอยู่บ่อยครั้ง อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เธอรู้สึกสงบจิตใจ และผ่อนคลายก่อนทำนายเสมอมา
การทำนายด้วยศาสตร์วันเกิด หรือ คนจากแผ่นดินใหญ่เรียกว่าโหราศาสตร์นั้นค่อนข้างซับซ้อนและวุ่นวายอยู่ในที ตอนที่ฉันได้อ่านหนังสือโหราศาสตร์ครั้งแรก มันทั้งสับสนและมืดบอด ก่อนจะค่อยๆเรียนรู้ และจดจำการถอดรหัส ตีความตัวเลข ด้วยการอาศัยตีความจากตัวเลขนั้นทำให้การพยากรณ์ในลักษณะนี้ผู้ฟังจะสามารถตีความได้กว้างขวาง นักทำนายจึงควรสอบถามที่มา ที่ไปของเหตุการณ์เพื่อทำนายให้ออกมาสมเหตุสมผลและจับจุดให้แม่นยำมากขึ้น
ตง หมิงรุ่ย อายุ 25ปี
เกิด 31 ตุลาคม 1865
เลขชะตาวันเกิด จะส่งผลตั้งแต่เกิดถึง 25 ปี
เลขชะตาเดือนเกิดจะส่งตั้งแต่ 25 ถึง53ปี (คำนวณโดยการเพิ่มเลขเดือนเข้าไป)
และเลขชะตาปีจะส่งผลตั้งแต่ 53ปีขึ้นไป (คำนวณโดยการเพิ่มเลขปีเข้าไป)
ปัจจุบันเป็นเดือนกรกฏาคม ปี 1890 ซึ่งหมิงรุ่ยยังไม่ครบ 25ปี บริบูรณ์ ฉะนั้นคำนวนแค่เลขวันเกิดเท่านั้น
สุภาพสตรีพัค จีฮโยก็เช่นกัน
เลขวันเกิดมงคลของหมิงรุ่ย คือ 3+1 = 4
เป็นคนที่ฉลาด ไหวพริบดี และรู้ทันคน
ส่วนของสุภาพสตรี คือเลข 1+2 = 3
นับว่าเป็นสตรีที่กล้าหาญ แต่ความกล้าหาญบางครั้งมักจะนำปัญหามาสู่ตน
ถัดมาจึงคำนวณชะตาเลขปีปัจจุบัน
เลขชะตาปีปัจจุบันจะคำนวณโดยการเปลี่ยนปีเกิด เป็นปีปัจจุบัน หลักหน่วยถูกบวกด้วยเลขชะตาวันเกิดและเลขชะตาปีเกิด
เลขชะตาปีปัจจุบันสามารถใช้ระบุความเป็นไปคร่าวๆในปีนั้นได้
1+8+9+0 = 18 ; 1+8 = 9
9+10 (เลขชะตาเดือนเกิด) = 19
19+4 (เลขชะตาวันเกิด) = 23
2+3 = 5
เลขชะตาปีปัจจุบันของหมิงรุ่ยคือ 5
หมายถึงการเปลี่ยนแปลง อุบัติเหตุ และการเผชิญความเสี่ยง
ในส่วนของคุณพัค จีฮโย ผลลัพท์คือเลข 3
หมายการการฝ่าฟัน เผชิญการตัดสินใจอยู่บ่อยครั้ง ผลลัพท์ของการตัดสินใจไม่สามารถคำนวณได้แน่ชัด
แต่หากคุณพัค จีฮโย เกิดวันที่ 2 กุมภาพันธ์ตามที่เขียนไว้ตอนแรก ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเลข 4 ...
แน่นอน เลข 4 หมายถึงตัวเลขแห่งความตาย หากไม่ตายก็ถือว่าดวงตกแบบสุดขีด
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าชายหญิงคู่นี้มีความเสี่ยงเชิงลบในทุกๆกรณี ต่อการเดินทางไปโชชอน
ด้วยเพราะเป็นลูกค้าที่ดูมีฐานะ จื่อวีจึงต้องการสร้างความประทับใจแรกเริ่ม เพื่อเพิ่มความนิยมแบบปากต่อปากในหมู่แวดวงชั้นสูง เธอฉีดกระดาษออกมาบางส่วนและเขียนข้อความลงไป
“การเดินทางของตง หมิงรุ่ย และพัค จีฮโย”
มือซ้ายกำกระดาษข้อความ มือขวาจับอัญมณีบุษราคัม
จื่อวีหลับตาลง หลังเอนพิงพนักก่อนจะท่องข้อความครบ 7 ครั้ง และสร้างบอลแสงให้เกิดนิมิต
ฉากสีดำตรงหน้า ค่อยๆเลือน แทนที่ด้วยภาพบนเรือบรรทุกสินค้าและวิวทะเลรอบทิศทาง
ภาพเปลี่ยนด้วยความเร็วเป็นช่วงกลางคืน และกลุ่มคนชุดดำที่มีทั้งใบดาบ และกระบอกเหล็กด้ามยาว คุ้นๆว่าอู๋เก่อเคยบอกว่าคือ ‘ปืน’
โจรสลัด…
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งด้วยความเร็วก่อนจะหยุดภาพ ด้วยร่างไร้วิญญาณของกะลาสี เสือดสีแดงสดไหลนองทั่วดาดฟ้าของเรือ
ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งบนท่าเรือ ตง หมิงรุ่ย มีสภาพเหมือนคนไม่ได้นอนเกินกว่า 3วัน เดินลงเรือด้วยความอิดโรย
ฉากสีดำหมุนวนๆอีกครั้งก่อน บอลแสงนิมิตรจะแตกออก
จื่อวีสะดุ้งตื่นด้วยความผวา หลังมือ หลังคอชุ่มไปด้วยเหงื่อ หยิบนาฬิกาพกในช่องสูทดูพบว่าตนเองหลับไปเพียง 3 นาทีเท่านั้น!!
ภาพเหตุการณ์ที่เห็นแม้จะเลือนลางแต่ก็สร้างความสยดสยองแก่เธอไม่น้อย เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นฉากสีแดงสุดแสนน่ากลัวในการพยากรณ์ทำนาย
เพียงเข้านิมิตร 3 นาที แต่สร้างความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจของเธอมากเสียเหลือเกิน การทำนายด้วยมินิตรจึงเป็นการพยากรณ์ที่จื่อวีมักจะเสนอเป็นลำดับสุดท้ายให้ลูกค้าทุกครั้ง
ไม่น่าเลย
เหมือนตนจะคิดผิดอย่างยิ่งที่เข้านิมิตร ให้ตายสิ!!!!
กาแฟดำนำเข้า แม้จะเย็นลงไปมากแต่รสชาติยังคงดีอยู่ จื่อวีพยายามควบคุมลมหายใจให้ปกติที่สุด จิบกาแฟซ้ำๆจนจวนจะหมดแก้ว ก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ 1 ครั้ง พร้อมออกไปเรียกลูกค้า รับฟังผลการทำนาย
“สุภาพบุรุษ สุภาพสตรี เชิญด้านในค่ะ”
หมิงรุ่ยนั่งลงด้วยท่าทางสบายๆ ส่วนพัค จีฮโยนั่งเก้าอี้หลังตรงหน้าเชิ่ดเล็กน้อย
“ในการทำนายทุกครั้งผลลัพธ์ย่อมไม่ได้เกิดเพียงด้านบวก พวกท่านทั้งสองคงทราบดี”
หมิงรุ่ยเริ่มหุบรอยยิ้มลงเล็กน้อย แต่แสร้งยังคงยิ้มรับฟังผล ส่วนพัค จีฮโยยังนั่งสงบรอคำอธิบาย
“การเดินทางไปโชชอนในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า จะเกิดเหตุการณ์อันตรายมาสู่ผู้คนบนเรือ ไม่ใช่การเดินทางที่ดีและราบรื่นอย่างที่เคย”
ในตอนนี้รอยยิ้มหายไปจากหน้าหมิงรุ่ยโดยสิ้นเชิง
“คุณโจวครับ ผลการทำนายบอกอย่างนั้นจริงหรือ?”
“แน่นอนค่ะว่าผลออกมาเป็นแบบนั้น และเนื่องจากพวกท่านทั้งสองคือลูกค้ารายแรกของฉันในวันนี้ ฉันจึงได้ทำนายเจาะจงอีกขั้น โดยไม่ได้เพิ่มอัตราเงินแต่อย่างใด”
ฉันพูดออกไปด้วยรอยยิ้มนิดๆ หวังว่าผลทำนายจะสร้างความประทับใจให้ลูกค้าพิเศษสองท่านนี้
“ดิฉันได้ลองเข้านิมิตร และได้พบเหตุการณ์บางอย่าง นั่นจึงทำให้ได้รู้และเห็นคุณชายตง ถึงท่าเรือโดยสวัสดิภาพ”
“จริงหรือ!!!”
“ดิฉันไม่เคยโกหกผลลัพท์ของการพยากรณ์”
แต่เพียงบอกไม่หมด ว่าระหว่างทางพบเหตุการณ์สุดสยองแค่ไหน
“คุณชายตง ดิฉันได้บอกการพยากรณ์ไปแล้ว และผลลัพธ์ถึงความเสี่ยงในการเดินทาง ดิฉันรู้ดีว่าไม่สามารถชี้นำผู้อื่นได้ หากแต่ขอให้คุณชายตงกลับไปใคร่ครวญอีกครั้ง จะไปหรือไม่ไปนั้นอยู่ที่ท่านสุดแล้วจะตัดสินใจ”
ประโยคทิ้งท้ายที่เน้นย้ำการทำนาย มันช่วยเพิ่มให้จื่อวีรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยที่ได้ลองเตือนคุณชายไป
“สมกับเป็นนักทำนาย!! ผมพบเจอผู้อื่นมามาก แต่ไม่มีใครสักคนที่เหมือนคุณโจว ขอบคุณสวรรค์และขอบคุณสำหรับการทำนายในวันนี้ครับ”
คุณชายตงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมขยับไม้ค้ำเตรียมออกจากห้อง แม้จะเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก แต่ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการยืนรอสุภาพสตรีพัค จีฮโยหน้าห้อง ก่อนเดินออกไปชำระเงินพร้อมกัน
“ยินดีอย่างยิ่งค่ะ” จื่อวีเพียงกล่าวออกมาเบาๆ
ราคาพยากรณ์ลูกค้ารายแรกคือ 5 เจียว หัก10เปอร์เซ็นให้ทางสโมสร จื่อวีจะเหลือเงิน 4 เจียวกับอีก 5เฟิน ก็ยังถือว่ามากโขอยู่ดีสำหรับชีวิตหาเช้ากินค่ำอย่างเธอ
เหนื่อยชะมัดกับการเข้านิมิตร จื่อวีบอกความจำนงปิดรับลูกค้ากับมาดามลี่ก่อนลงไปชั้นใต้ดินที่แบ่งห้องไว้เล็กๆสำหรับพักผ่อน จื่อวีตั้งใจจะตื่นมาอีกครั้งในช่วงบ่าย ก่อนออกไปทานอาหารและตรงไปร้านน้ำชาสำหรับงานรับจ้างนอกเวลา
แม้จะเป็นร้านที่ไม่ใหญ่มาก อย่างน้อยก็ถือเป็นร้านที่มักได้รับความนิยมไม่น้อย เป็นร้านน้ำชาที่ไม่มีป้ายร้านแต่มักรู้จักในนามร้านน้ำชาเสี่ยวฉา ที่แปลงจากว่าคำเสี่ยว = เล็ก , ฉา = ชา หรือร้านชาเล็กๆจนคุ้นชินในละแวกท่าเรืออันผิง พนักงานในร้านมีเพียง4ชีวิตไม่นับจื่อวี คือ จิง จิงซี, จิง จิงฉู, จิง จิงไจ่ สามพี่น้องจากมลฑลไถจง และ คุณลุงยี่ ผู้เป็นพนักงานหลังร้านในทุกตำแหน่ง ส่วนจื่อวีถือเป็นผู้ช่วยของลุงยี่อีกทอด
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะลุงยี่”
จื่อวีเปิดม่านเล็กๆจากประตูหลังร้าน แต่กลับพบเพียงหม้อต้มชาที่อุ่นแก๊สกำลังส่งเสียงเบาๆ ไร้วี่แววคู่สนทนา
แต่ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะบางครั้งลุงยี่หรือตนจำต้องออกไปซื้อหรือหยิบจับของอย่างอื่นนอกร้าน ตนเพียงทำหน้าไม่ให้ขาดตกบกพร่องก็เพียงพอแล้ว
จื่อวีจัดแจงขนมเซาปิ่งไส้ต่างๆ 10ชิ้นวางไว้ตรงโต๊ะหลักหลังร้าน ด้วยเพราะเป็นร้านเล็กๆ จึงมักเป็นร้านที่ผู้คนนิยมพบปะพูดคุยสั้นๆ ทางร้านจึงมีเพียงเครื่องดื่ม2-3ชนิดและขนมขบเคี้ยวไม่มากนัก
จัดแจงบางส่วนเสร็จแล้ว จึงเตรียมผงแป้ง ไข่ไก่ น้ำสะอาด ไว้ตรงโต๊ะเล็กข้างประตูทางออกหน้าร้าน โดยปกติพี่สาวคนสวยจิงซี จะเป็นผู้นวดแป้งทำขนมเอง ส่วนตนมีหน้าที่เป็นลูกมือเท่านั้น
วันนี้กลับเงียบๆจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทุกคนหายไปไหนกันหมด อย่างน้อยต้องได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเล็กๆน้อยๆออกมาบ้าง
จะคิดไปว่าร้านปิด แต่หม้อต้มชายังเปิดแก๊สค้างไว้ เซาปิ่งอบใหม่ๆยังคงร้อนอยู่
ด้วยเพราะความสงสัย จื่อวีจึงได้แอบเปิดประตูทางออกไปหน้าร้าน โดยพยายามแง้มออกเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พบใครจนเปิดอ้าออกกว้างขึ้นจนเกือบสุดประตู
มุมขวาของร้าน ที่โต๊ะตัวแรกจื่อวีเห็นลุงยี่กำลังก้มคุยกับหญิงสาวที่ดูเหมือนสาวใช้ โดยได้ยกมือขึ้นทำท่าทางประกอบอย่างเงอะงัน สตรีด้านหลังหญิงสาวใช้ตนมองไม่ถนัดนัก เนื่องจากเธอได้สวมหมวก ปิดพับลงมาจนเกือบจะปกปิดใบหน้า
แต่ชุดที่สตรีผู้นั้นสวมช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน
ไม่ทันได้คิดอะไรออกไปนาน สตรีคนเดิมได้หันหน้ามาทางตนพร้อมถอดหมวกออกอย่างช้าๆ….
นึกออกแล้ว!! คุณพัค จีฮโยนี่หน่า!!!
.................................................................................................................................................
อะโห..... อ่านแล้วนึกภาพในหัวตาม น่าสนใจแหะ จื่อวีนักทำนายนิ่งๆเย็นๆแบบนั้น เคยยิ้มบ้างมั้ยนะ หม่นๆแต่ก็ดูมีความสุขอยู่ เดาทางเรื่องไม่ออกเลย รอติดตามค่ะ อย่าหายไปนานนะ